ลุงบุญมีระลึกชาติ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ลุงบุญมีระลึกชาติ
ลุงบุญมีระลึกชาติ.jpg
ผู้กำกับ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล
อำนวยการสร้าง ไซมอน ฟิลด์
คีธ กริฟฟิธส์
Charles de Meaux
อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล
บทภาพยนตร์ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล
กำกับภาพ สยมภู มุกดีพร้อม
ยุคนธร มิ่งมงคล
Charin Pengpanich
ตัดต่อ ลี ชาตะเมธีกุล
วันที่เข้าฉาย 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
(เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ครั้งที่ 63)
ความยาว 114 นาที
ประเทศ ไทย
สหราชอาณาจักร
ฝรั่งเศส
เยอรมนี
สเปน
ภาษา ไทย

ลุงบุญมีระลึกชาติ (อังกฤษ: Uncle Boonmee Who Can Recall His Past Lives) เป็นภาพยนตร์ไทยนอกกระแส ออกฉายครั้งแรกในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 กำกับโดยอภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ซึ่งเป็นผลงานเรื่องที่ 6 ของเขา ภาพยนตร์ได้รับรางวัลปาล์มทองคำ จากงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ครั้งที่ 63 นับเป็นภาพยนตร์จากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เรื่องแรกที่ได้รับรางวัลนี้ [1]

ภาพยนตร์ได้ผู้ร่วมทุนเพิ่มจากสเปน (Seta) อังกฤษ (Illuminations Films) ฝรั่งเศส (Anna Sanders) และเยอรมนี (Fernsehproduction และ Match Factory) กับทุนสร้าง 1 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 35 ล้านบาท โดยบริษัทแมทช์แฟคตอรี่ จากกสเปนเป็นผู้จัดจำหน่ายระหว่างประเทศ และบริษัท ZDF และ Arte ถือลิขสิทธิ์ในเยอรมนี[2]

เนื้อหา

[แก้] เนื้อเรื่อง

ภาพยนตร์มีเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องเชิงเหนือจริง การนั่งสมาธิ สะกดจิต และระลึกชาติ โดยกล่าวถึงลุงบุญมีที่กำลังล้มป่วยด้วยอาการไตวาย บุญมีรู้ว่าตนเองจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึง 48 ชั่วโมง และเชื่อว่าความเจ็บป่วยที่เป็นอยู่อาจเกี่ยวกับกรรมที่เขาเคยฆ่าสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ตายไปหลายราย เขาถูกภรรยาที่ตายไปมาหลอกหลอนในสภาพผู้บริบาลรักษา ลูกชายที่หายสาบสูญไปนานก็กลับมาจากป่าในสภาพที่คล้ายลิง เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ลุงบุญมีสามารถระลึกชาติได้ และติดตามไปยังสถานที่ที่เกี่ยวของกับอดีตชาติของเขา ก่อนจะเสียชีวิตไปพร้อม ๆ กับการสนทนาถึงเรื่องราวของชีวิตตนเอง ที่กินเวลานานหลายร้อยปี

[แก้] งานสร้าง

อภิชาติพงศ์ได้แรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานนี้จากแหล่งใหญ่สองแหล่ง คือ การเดินทางไปยังตำบลนาบัว อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม แล้วได้พบกับชาวบ้านที่ผ่านช่วงเวลาที่รัฐบาลทำสงครามต่อต้านคอมมิวนิสต์ ในช่วง พ.ศ. 2508- พ.ศ. 2525[ต้องการอ้างอิง] และหนังสือ คน ระลึกชาติ เขียนโดยพระศรีปริยัติเวที แห่งวัดป่าแสงอรุณ จังหวัดขอนแก่น[3] มีเนื้อหาเกี่ยวกับประสบการณ์การระลึกชาติของนายบุญมี ผู้เคยเกิดเป็นนายพราน เป็นเปรต เป็นควายเป็นวัว ก่อนจะมาเกิดเป็นคนในภพชาตินี้ ซึ่งขณะที่เขาได้อ่านหนังสือเรื่องนี้บุญมีได้เสียชีวิตไปแล้ว โดยหนังสือเรื่องนี้เป็นแรงบันดาลใจในการเขียนบทให้เขาเรื่องเนื้อหาและโครงสร้าง ส่วนเนื้อเรื่องในภาพยนตร์เขากล่าวว่าเป็นเรื่องที่เขาคิดขึ้นเอง[4][5] โดยเนื้อเรื่องและการออกแบบงานสร้างเขาได้รับแรงบันดาลใจจากรายการโทรทัศน์สมัยก่อนและการ์ตูนไทย ที่มักมีเนื้อเรื่องง่าย ๆ และเต็มไปด้วยองค์ประกอบเรื่องที่เหนือธรรมชาติ[5]

ทุนสร้างภาพยนตร์มาจากบริษัทของอภิชาติพงศ์ ชื่อ คิกเดอะแมชชีน, บริษัทอิลลูมิเนชันส์ของอังกฤษ, บริษัทแอนนาแซนเดอร์สของฝรั่งเศส, บริษัทแมตช์แฟกทอรีและ Geissendörfer Film- und Fernsehproduktion ของเยอรมนี และบริษัทเอ็ดดีเซตาของสเปน[6] ยังได้รับทุนสนับสนุน 3.5 ล้านบาทจากกระทรวงวัฒนธรรม ประเทศไทย[7]

ภาพยนตร์ถ่ายทำในระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ. 2552 ถึง กุมภาพันธ์ 2553 ที่มีอุปสรรคเรื่องภูมิอากาศ ทั้งที่กรุงเทพและในภาคอีสานของไทย[6] โดยใช้ฟิล์ม 16 มม. ในการถ่ายเนื่องจากเหตุผลด้านทุนและต้องการให้ดูเหมือนภาพยนตร์ไทยสมัยก่อนมากกว่า[7]

ลุงบุญมีระลึกชาติ เป็นส่วนเติมเต็มสุดท้ายของผลงานชุด "Primitive" ของอภิชาติพงศ์ ซึ่งนอกเหนือจากภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วยังประกอบด้วยงานศิลปะแบบจัดวาง (Installation Arts) ที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ศิลปะตามเมืองใหญ่ทั่วโลก เช่น มูลนิธิเพื่อศิลปะและการสร้างสรรค์แห่งเมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นต้น รวมถึงภาพยนตร์สั้นอีก 2 เรื่อง ได้แก่ "จดหมายถึงลุงบุญมี" และ "ผีนาบัว"[8]

[แก้] การออกฉาย

ภาพยนตร์ออกฉายรอบปฐมทัศน์ ในฐานะภาพยนตร์เข้าประกวดในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553[9] ส่วนการออกฉายในโรงภาพยนตร์ในประเทศไทยยังไม่แน่ชัด อภิชาติพงศ์กล่าวว่า "ทุกครั้งที่ออกหนังมา ผมต้องใช้เงินในการประชาสัมพันธ์ ซึ่งผมไม่แน่ใจว่ามันคุ้มค่าหรือไม่ แต่ผมก็อยากให้ออกฉายที่บ้านเกิดของผม"[10]

[แก้] การตอบรับ

ภาพยนตร์ได้รับรางวัลปาล์มทองคำ จากงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ครั้งที่ 63 นับเป็นภาพยนตร์จากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เรื่องแรกที่ได้รับรางวัลนี้ คณะกรรมการผู้ตัดสินรางวัลปาล์มทองคำ อย่างทิม เบอร์ตัน และเบนิซิโอ เดล โทโร่ ให้ความเห็นเกี่ยวกับภาพยนตร์ว่า เป็นภาพยนตร์ที่ทำให้พวกเขาเข้าใจประเด็นเรื่องความตายจากมุมมองใหม่แบบ “ตะวันออก”[11]

ก้อง ฤทธิ์ดี นักวิจารณ์ภาพยนตร์แห่งหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ผู้เข้าร่วมงานแจกรางวัลปาล์มทองคำเช่นกัน ให้ความเห็นว่า "มันโดดเด่นและแตกต่างจาก เรื่องอื่นจริง คือ หนังดีที่นี่ก็เป็นหนังที่ทำดี แต่หนังของเจ้ยเป็นหนังที่เปิดโลกทัศน์ภาพยนตร์และไม่ยึดติดในกรอบเดิม ๆ" และยังพูดถึงการได้รับรางวัลของภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า ตัวเขารวมถึงนักวิจารณ์จาก สื่อต่างประเทศรายอื่นๆยัง ใช้คำว่า unexpected winner หรือ เป็นม้ามืด[12]

[แก้] อ้างอิง

  1. ^ "ลุงบุญมีระลึกชาติ"ของ"เจ้ย"คว้าปาล์มทองคำ
  2. ^ รายละเอียดหนังเรื่องยาวลุงบุญมีระลึกชาติ thaicinema.org
  3. ^ ลุงบุญมีระลึกชาติ ณ เมืองคานส์ กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
  4. ^ Kwai, Wise (2010-04-20). The late, great Apichatpong. The Nation. สืบค้นวันที่ 2010-05-01
  5. ^ 5.0 5.1 English press kit Lung Boonmee raluek chat. Illuminations films. สืบค้นวันที่ 2010-05-20
  6. ^ 6.0 6.1 Mayorga, Emilio (2010-01-20). Eddie Saeta joins 'Uncle Boonmee'. Variety. สืบค้นวันที่ 2010-04-19
  7. ^ 7.0 7.1 Rithdee, Kong (2010-05-07). Multiple avatars. Bangkok Post. สืบค้นวันที่ 2010-05-07
  8. ^ ปลุกผีคอมมิวนิสต์แห่งบ้านนาบัว | PRIMITIVE INSTALLATION @ FACT LIVERPOOL นิตยสารโอเพนออนไลน์ เรียกดูข้อมูลเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2553
  9. ^ The screenings guide. festival-cannes.com. Cannes Film Festival. สืบค้นวันที่ 2010-05-20
  10. ^ Landreth, Jonathan (2010-05-18). Q&A: Apichatpong Weerasethakul. The Hollywood Reporter. สืบค้นวันที่ 2010-05-20
  11. ^ เจ้ย ย้ำชัด หนังลุงบุญมีฯ ไม่ใช่ หนังการเมือง
  12. ^ ปาล์มทอง แด่ 'ลุงบุญมีฯ'

[แก้] แหล่งข้อมูลอื่น