ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
Stock Exchange of Thailand logo.gif
SET INDEX พ.ศ. 2552 ? จุด
ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีพ.ศ. 2551 ? จุด
หรือ ร้อยละ  ?
มูลค่าตลาดหลักทรัพย์ ? ล้านบาท
ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน ? ล้านบาท
จำนวนหลักทรัพย์ ? หลักทรัพย์
P/E ? เท่า
P/BV ? เท่า
เงินปันผล  ?
ผลตอบแทนในปีนี้ ?
ข้อมูลวันที่ - [1]

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (The Stock Exchange of Thailand - SET) เป็นตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทย จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2517 อยู่ภายใต้การกำกับดูแลโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดทำการซื้อขายขึ้นอย่างเป็นทางการครั้งแรกในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2518[2] ทำหน้าที่เป็นตลาดรองเพื่อแลกเปลี่ยนซื้อขายตราสารทุน ของบริษัทต่างๆ ที่ขึ้นทะเบียนไว้ และ เพื่อให้สามารถระดมเงินทุนเพิ่มเติมจากสาธารณะได้โดยสะดวก ปัจจุบันการดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535

เวลาทำการของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยคือวันจันทร์ถึงวันศุกร์ มี 2 ช่วงคือ ช่วงเช้า 10.00น. - 12.30น. ช่วงบ่าย 14.30น. - 16.30น. และหยุดตามวันหยุดของทางราชการ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์คนปัจจุบันคือ นางภัทรียา เบญจพลชัย

เนื้อหา

[แก้] ประวัติความเป็นมาของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปัจจุบัน

ก่อนที่จะมีการจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์ขึ้นมานั้น ประเทศไทยได้มีการจัดตั้ง"บริษัทลงทุน"ในปี พ.ศ. 2503 โดยกลุ่มเอกชนส่วนใหญ่ซึ่งเป็นชาวต่างประเทศได้จัดตั้งสถาบันการเงินประเภทบริษัทจัดการลงทุน (Investment Management Company) ขึ้นดำเนินการในลักษณะกองทุนรวม (Mutual Fund) โดยให้ใช้ชื่อว่า กองทุนรวมไทย (Thai Investment Fund) หรือ TIF ต่อมาในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2505 กลุ่มอุตสหกิจไทยเอกชนได้ร่วมกันจัดตั้งกิจการดำเนินงานในลักษณะสถานปริวรรตหุ้นที่เรียกว่าตลาดหลักทรัพย์โดยใช้ชื่อว่า บริษัทตลาดหุ้นกรุงเทพ จำกัด (Bangkok Stock Exchange)

ตลาดหุ้นกรุงเทพดังกล่าวใช้เป็นสถานที่ซึ่งสมาชิกชุมนุมเพื่อแลกเปลี่ยนชื้อขายหลักทรัพย์ ตลาดหุ้นที่มีอยู่ขณะนั้นไม่ได้ทำหน้าที่ตลาดหุ้นอย่างแท้จริง คือ การซื้อขายหุ้นที่สมาชิกกระทำให้ลูกค้านั้นมิได้กระทำในตลาดหุ้น แต่จะกระทำที่สำนักงานของสมาชิกแต่ละคน นอกจากนี้การบริหารตลาดหุ้นก็ยังไม่มีประสิทธิภาพดีพอ อุปสรรคที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจหลักทรัพย์ คือ บริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ มีทุนในปริมาณจำกัดทำให้ไม่สามารถขยายธุรกิจในด้านนี้ได้อย่างกว้างขวางเพียงพอและไม่คึกคักเท่าที่ควร ถึงแม้ว่าจะมีพื้นฐานในการจัดตั้งที่ดีการซื้อขายในตลาดหุ้นกรุงเทพ ก็ไม่ได้รับความสนใจมากนักมูลค่าการซื้อขายมีเพียง 160 ล้านบาทในปี พ.ศ. 2511 และ 114 ล้านบาทในปี พ.ศ. 2512 การซื้อขายมีปริมาณลดลงเป็น 46 ล้านบาทในปี พ.ศ. 2513 และลดลงเหลือ 28 ล้านบาทในปี พ.ศ. 2514 การซื้อขายหุ้นกู้มีมูลค่าถึง 87 ล้านบาทในปี พ.ศ. 2515 แต่การซื้อขายหุ้นก็ยังไม่เป็นที่สนใจ โดยมูลค่าการซื้อขายหุ้นที่ต่ำที่สุดมีเพียง 26 ล้านบาทเท่านั้น และ ในที่สุดตลาดหุ้นกรุงเทพก็ต้องปิดกิจการลง เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าตลาดหุ้นกรุงเทพไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากขาดการสนับสนุนจากภาครัฐ ประกอบกับประชาชนยังขาดความรู้ความเข้าใจที่เพียงพอ ในเรื่องตลาดทุน การพัฒนาบริษัทต่างๆในประเทศไทยส่วนใหญ่จึงเกิดจากเงินทุนของเจ้าของกิจการเป็นส่วนใหญ่ ถ้ามีเงินไม่เพียงพอก็กู้ยืมจากสถาบันการเงินที่มีอยู่ในขณะนั้น

ในปี พ.ศ. 2510 ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เชิญศาสตราจารย์ซิดนีย์ เอ็ม. รอบบินส์ (Sydney M.Robbins) ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาตลาดทุน และเป็นศาสตราจารย์ประจำภาควิชาการเงิน จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สหรัฐอเมริกา เข้ามาช่วยศึกษาโครงสร้างตลาดเงินและตลาดทุนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512 ต่อมาเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2513 ก็ได้เสนอรายงานต่อธนาคารแห่งประเทศไทย ในเอกสารชื่อ"A Capital Market in Thailand" หรือ "ตลาดทุนในประเทศไทย" รายงานฉบับนี้ชี้ให้เห็นถึงปริมาณหลักทรัพย์และผู้สนใจซื้อขายหลักทรัพย์ในขณะนั้นว่ามีอยู่จำนวนมาก รวมทั้งมีปัญหากฎหมายและอื่นๆ อีกหลายประการ และได้เสนอแนะหลักการและแนวทางเพื่อการแก้ไขปัญหาตลาดทุนของประเทศไทยไว้

ในปี พ.ศ. 2515 รัฐบาลได้เข้ามามีบทบาทโดยการแก้ไข "ประกาศคณะปฏิวัติที่ 58 เกี่ยวกับการควบคุมธุรกิจ การค้า ที่มีผลกระทบต่อความปลอดภัยและความเป็นอยู่ของประชาชน" การแก้ไขดังกล่าวส่งผลให้รัฐบาลสามารถกำกับดูแล การดำเนินงานของบริษัทเงินทุนและหลักทรัพย์ ซึ่งทำให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีระเบียบและยุติธรรม ผลจากข้อเสนอแนะของศาสตราจารย์ซิดนีย์ เอ็ม. รอบบินส์ ทางคณะกรรมการมีความเห็นว่าควรรวมการซื้อขายหลักทรัพย์ในประเทศไทยให้อยู่ที่เดียวกัน และควรเปิดโอกาสใหประชาชนทั่วไปได้เห็นวีธีการประมูลซื้อขายด้วย ในที่สุดกระทรวงการคลังได้พิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการจัดตั้งตลาดหุ้น และได้มีการประกาศใช้ประราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2517 เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2517 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดให้มีแหล่งกลางสำหรับการซื้อขายหลักทรัพย์ เพื่อส่งเสริมการออมทรัพย์และการระดมทุนในประเทศ ตามมาด้วยการแก้ไขบทบัญญัติเกี่ยวกับรายได้เพื่อให้สามารถนำเงินออมมาลงทุนในตลาดทุนได้ เมื่อได้เตรียมการต่างๆแล้วจึงได้เปิดทำการซื้อขายครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2518 และทำพิธีเปิดตลาดหลักทรัพย์อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2518 ภายใต้การควบคุมของกระทรวงการคลัง และไต้ทำการเปลี่ยนชื่อภาษาอังกฤษเป็นจากเดิม "Securities Exchange of Thailand" มาเป็น "Stock Exchange of Thailand" (SET) เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2534

[แก้] การดำเนินงานหลักของตลาดหลักทรัพย์ฯ

[แก้] 1 การรับหลักทรัพย์จดทะเบียน

[แก้] 2 การให้บริการระบบการซื้อขายหลักทรัพย์

  • ระบบซื้อขายหลักทรัพย์

ตลาดหลักทรัพย์ฯได้พัฒนาระบบการซื้อขายหลักทรัพย์ด้วยคอมพิวเตอร์ (Automated System For the Stock Exchange of Thailand:ASSET) เพื่ออำนวยความสะดวกในการซื้อขายหลักทรัพย์ให้แก่บริษัทสมาชิกและผู้ลงทุน โดยคำสั่งชื้อขายหลักทรัยพ์ที่ส่งเข้ามาจากบริษัทสมาชิก ระบบการซื้อขายหลักทรัพย์จะทำการจับคู่คำสั่งซี้อขายโดยอัตโนมัติ (Automatic Order Matching:AOM) ซึ่งจะเป็นไปตามเกณฑ์การจัดลำดับของราคาและเวลา โดยคำสั่งซื้อขายที่มีลำดับราคาและเวลาที่ดีที่สุดจะถูกจับคู่ซื้อขายก่อนหลังจากที่มีการจับคู่คำสั่งซื้อขายแล้ว ระบบการซื้อขายหลักทรัพย์จะยืนยันรายการซื้อขายดังกล่าวกลับไปยังบริษัทสมาชิก เพื่อให้ทราบผลในทันที

นอกจากนี้ยังมีการซื้อขายรองที่เรียกว่า Put-through (PT) ซึ่งเป็นการที่บริษัทสมาชิกผู้ซื้อและบริษัทสมาชิกผู้ขายได้เจรจาตกลงการซื้อขายกันก่อนแล้ว จึงให้บริษัทสมาชิกผู้ขายเป็นผู้บันทึกรายการซื้อขายเข้ามาในระบบการซื้อขายหลักทรัพย์และให้บริษัทสมาชิกผู้ซื้อเป็นผู้รับรองรายการซื้อขายดังกล่าว

    • AOM : วิธีการซื้อขายแบบจับคู่คำสั่งอัตโนมัติ เป็นวิธีการซื้อขายที่ผู้ซื้อและผู้ขายส่งคำสั่งซื้อขายผ่านคอมพิวเตอร์เข้ามายังระบบการซื้อขายของตลาดหลักทรัพยฯ โดยระบบคอมพิวเตอร์ของตลาดหลักทรัพยฯจะเรียงลำดับและจับคู่คำสั่งซื้อขายโดยอัตโนมัติด้วยหลักการราคาและเวลาที่ดีที่สุดซึ่งหมายความว่าคำสั่งซื้อที่มีราคาสูงที่สุดและคำสั่งราคาขายที่ราคาต่ำที่สุดจะถูกจัดคู่ซื้อขายก่อน
    • PT : เป็นวิธีซื้อขายแบบมีการตกลงกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายเป็นวิธีการซื้อขายที่บริษัทหลักทรัพย์ผู้ซื้อและผู้ขายทำความตกลงซื้อขายหุ้นกันเอง เมื่อตกลงซื้อขายกันได้แล้วก็จะบันทึกรายละเอียดของรายการซื้อขายดังกล่าวผ่านระบบการซื้อขายเพื่อให้ตลาดหลักทรัพย์ฯทราบ ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯอนุญาตให้ใช้การซื้อขายแบบ PT สำหรับการซื้อขายรายใหญ่ (Big Lot Trading) หรือเป็นการซื้อขายหุ้นที่มีชาวต่างชาติเป็นเจ้าของ [3]
    • สัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขาย
    • NP (Notice Pending) :เป็นเครื่องหมายที่แสดงว่าบริษัทจดทะเบียนนั้นยังไม่ได้ส่งงบการเงินหรือรายงานให้ตลาดหลักทรัพย์ฯตามระยะเวลาที่กำหนด หรือตลาดหลักทรัพย์อยู่ระหว่างรอคำชี้แจงหรือรายงานเพิ่มเติมจากบริษัทจดทะเบียน
    • NR (Notice Received) :เป็นเครื่องหมายที่แสดงว่าตลาดหลักทรัพย์ฯได้รับการชี้แจงข้อมูลหรือรายงานจากบริษัทจดทะเบียนที่ขึ้นเครื่องหมาย NP แล้ว และจะขึ้นเครื่องหมาย NR เป็นเวลา 1 วัน
    • H (Trading Halt) :เป็นเครื่องหมายแสดงการห้ามซื้อขายหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนนั้นเป็นการชั่วคราว โดยแต่ละครั้งมีระยะเวลาไม่เกิดหนึ่งรอบการซื้อขาย
    • SP (Trading Suspension) :เป็นเครื่องหมายแสดงการห้ามซื้อขายหลักทรัพย์จดทะเบียนเป็นการชั่วคราว โดยแต่ละครั้งมีระยะเวลาเกิดกว่าหนึ่งรอบการซื้อขาย
    • XD (Excluding Dividend) :เป็นเครื่องหมายที่แสดงว่า ณ วันที่ขึ้นเครื่องหมาย XD ผู้ลงทุนที่ซื้อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนดังกล่าวไม่มีสิทธิได้รับเงินปันผลที่บริษัทประกาศจ่ายในงวดนั้น หากผู้ลงทุนต้องการจะได้สิทธิในเงินปันผลดังกล่าว จะต้องซื้อหุ้นนั้นก่อนวันขึ้นเครื่องหมาย XD
    • XR (Excluding Right) :เป็นเครื่องหมายแสดงว่า ณ วันที่ขึ้นเครื่องหมาย XR ผู้ลงทุนที่ซื้อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนดังกล่าวไม่มีสิทธิในการจองซื้อหุ้นสามัญจากการเพิ่มทุนในครั้งนั้นของบริษัท หากผู้ลงทุนต้องการได้สิทธิในการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน จะต้องซื้อหุ้นนั้นก่อนวันขึ้นเครื่องหมาย XR
    • XW (Excluding Warrant) :เป็นเครื่องหมายแสดงว่า ณ วันที่ขึ้นเครื่องหมาย XW ผู้ลงทุนที่ซื้อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนดังกล่าวไม่มีสิทธิในการได้รับใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหลักทรัพย์หรือวอแรนท์
    • XA (Excluding All) :เป็นเครื่องหมายแสดงว่า ณ วันที่ขึ้นเครื่องหมาย XA ผู้ลงทุนที่ซื้อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนดังกล่าวไม่มีสิทธิได้รับทั้งเงินปันผล ดอกเบี้ย และ สิทธิในการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่บริษัทได้ประกาศจ่ายและจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นในครั้งนั้นๆ เครื่องหมายนี้จึงเหมือนกับเป็นเครื่องหมาย XD รวมกับ XR หรือ XW รวมกับ XR
  • กระดานการซื้อขายหลักทรัพย์หน่วยการซื้อขายและช่วงราคา
    • กระดานหลัก (Main Board)
    • กระดานหน่วยย่อย (Odd Board)
    • กระดานพิเศษ (Special Board)
    • กระดานรายใหญ่ (Big Lot Board)
    • กระดานต่างประเทศ (Foreign Board)

ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนดจำนวนหุ้นที่จะทำการซื้อขายบนกระดานหลัก เป็นหน่วยการซื้อขาย (Board Lot) โดยทั่วไป 1 หน่วยการซื้อขายจะเท่ากับ 100 หุ้น เท่ากันทุกหลักทรัพย์เช่นการซื้อขายหลักทรัพย์ ABC จำนวน 10 หน่วยการซื้อขายจะเท่ากับ 1,000 หุ้น ยกเว้นหลักทรัพย์มีราคาปิดตั้งแต่ 500 บาทขึ้นไปเป็นระยะเวลา 6 เดือนติดต่อกันจะกำหนดให้ 1 หน่วยการซื้อขายเท่ากับ 50 หุ้น ในกรณีที่ผู้ลงทุนต้องการซื้อขายหุ้นเป็นเศษของหน่วยการซื้อขาย เช่น 15 หุ้น , 77 หุ้น จะต้องซื้อขายบนกระดานหน่อยย่อย (Odd Lot Board)

ข้อกำหนดการซื้อขายหลักทรัพย์ตามช่วงราคา ขึ้นอยู่กับระดับราคาซื้อขายของแต่ละหลักทรัพย์ในขณะนั้นๆ ซึ่งมีการแบ่งออกเป็น 8 กลุ่ม ตั้งแต่ช่วงราคาละ 0.01 บาท จนถึง 2.00 บาท ช่วงราคา (เริ่มใช้ตั้งแต่ 30 มีนาคม 2552 เป็นต้นไป)

ระดับราคาเสนอซื้อ ช่วงราคา (บาท)
ต่ำกว่า 2 บาท 0.01
ตั้งแต่ 2 บาท แต่ต่ำกว่า 5 บาท 0.02
ตั้งแต่ 5 บาท แต่ต่ำกว่า 10 บาท 0.05
ตั้งแต่ 10 บาท แต่ต่ำกว่า 25 บาท 0.10
ตั้งแต่ 25 บาท แต่ต่ำกว่า 100 บาท 0.25
ตั้งแต่ 100 บาท แต่ต่ำกว่า 200 บาท 0.50
ตั้งแต่ 200 บาท แต่ต่ำกว่า 400 บาท 1.00
ตั้งแต่ 400 บาทขึ้นไป 2
    • ช่วงเวลาในการซื้อขายหลักทรัพย์

ช่วงเวลาในการซื้อขายหลักทรัพย์นั้นแบ่งออกเป็น 2 ช่วงเวลา ทุกวันจันทร์-ศุกร์ (ยกเว้นวันหยุดทำการของธนาคารพาณิชย์) คือ

    • 1 ช่วงการซื้อขายรอบเช้า (Morning Session) ตั้งแต่เวลาเปิดตลาดช่วงเช้าที่ได้ทำการสุ่มเลือกเวลาในช่วง 9.55-10.00 น. จนถึงปิดตลาดรอบเช้าเวลา 12.30 น.
    • 2 ช่วงการซื้อขายรอบบ่าย (Afternoon Session) ตั้งแต่เวลาเปิดตลาดที่ได้จากการสุ่มเลือกเวลาในช่วง 14.25-14.30 น. จนถึงเวลาในการปิดการซื้อขายประจำวันที่ได้จากการสุ่มเลือกเวลาในช่วง 16.35-16.40 น.

โดยผู้ลงทุนสามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้ก่อนเวลาทำการในแต่ละรอบล่วงหน้า 30 นาที คือส่งคำสั่งซื้อขายในรอบเช้าได้ตั้งแต่เวลา 9.30 น. และในรอบบ่ายตั้งแต่เวลา 14.00 น. ซึ่งเรียกว่าช่วง Pre-opening เพื่อนำคำสั่งทั้งหมดมาเรียงลำดับและคำนวณหาราคาเปิด นอกจากนี้ตลาดหลักทรัพยฯยังได้เปิดให้มีการซื้อขายหลักทรัพย์นอกเวลาทำการ (Off-hour Trading) เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 20-25 นาที นับตั้งแต่เวลาปิดการซื้อขายประจำวันที่ได้จากการสุ่มเลือก ไปจนถึงเวลา 17.00 น. เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถปรับพอร์ตการลงทุนในวันนั้นๆ ให้เหมาะสมและสะดวกยิ่งขึ้น รวมทั้งเพื่อรองรับการซื้อขายหลักทรัพย์ข้ามตลาดระหว่างประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

    • ราคาเสนอซื้อขายสูงสุดและต่ำสุด

เพื่อเป็นการลดความเสียงในการลงทุนให้กับผู้ลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงมีเหตุการณ์ไม่ปกติเกิดขึ้นส่งผลให้ราคาหลักทรัพย์มีการขึ้นลงผันผวนอย่างรุนแรง ตลาดหลักทรัพย์ฯกำหนดให้กำหนดให้ราคาเสนอซื้อเสนอขายในแต่ละวันสามารถเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้สูงสุดไม่เกินร้อยละ 30 ของราคาซื้อขายครั้งสุดท้ายในวันทำการก่อนหน้า แต่มีข้อยกเว้นในกรณีดังนี้

    • เป็นหลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เป็นวันแรก
    • เป็นการซื้อขายวันแรกที่มีการขึ้นเครื่องหมาย XD,XR,XS และ XA
    • เป็นหลักทรัพย์ที่ไม่มีการซื้อขายติดต่อกันเกินกว่า 15 วันทำการ
    • หลักทรัพย์นั้นมีราคาต่ำกว่า 1 บาท
    • Circuit Breaker

หากภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์โดยรวมเกิดการเปลี่ยนแปลงลดลงอย่างผิดปกติ ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีมาตรการที่เรียกว่า Circuit Breaker ที่จะหยุดการซื้อขายหลักทรัพย์ทั้งหมดเป็นการชั่วคราว เพื่อให้ผู้ลงทุนได้รับทราบสถานการณ์และมีเวลาไตร่ตรองข้อมูลข่าวสารที่เกิดขึ้นก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนต่อไป โดย Circuit Breaker จะทำงานตามหลักเกณฑ์และระยะเวลาดังนี้

    • เมื่อดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพยฯ ในวันนั้นลดลงในอัตราร้อยละ 10 ของดัชนีราคาหุ้นในวันทำการก่อนหน้า ระบบการซื้อขายจะหยุดการซื้อขายหลักทรัพย์เป็นเวลา 30 นาที
    • เมื่อดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัยพ์ฯ ในวันนั้นลดลงในอัตราร้อยละ 20 ของดัชนีราคาหุ้นในวันทำการก่อนหน้า ระบบการซื้อขายจะหยุดการซื้อขายหลักทรัพย์เป็นเวลา 1 ชั่วโมง
  • การชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์

หลังทำการซื้อขายหลักทรัพย์แล้วผู้ซื้อและผู้ขายมีหน้าที่ต้องชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ภายในวันทำการที่ 3 หลังการซื้อขาย (T+3) ยกเว้นตราสารหนี้ที่จะต้องชำระราคาและส่งมอบในวันทำการที่ 2 หลังการซื้อขาย (T+2) โดยใช้ระบบชำระราคาแบบยอดสุทธิ (Net Clearing) และส่งมอบหลักทรัพย์โดยวิธีหักโอนหลักทรัพย์ทางบัญชีระหว่างบริษัทสมาชิก ระบบหลังการซื้อขายหลักทรัพย์ดังกล่าวดำเนินการโดย บริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด

[แก้] 3 การคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้ลงทุน

  • กำกับดูแลการเปิดเผยข้อมูลสำคัญของบริษัทจดทะเบียน
  • การกำกับดูแลและตรวจสอบการซื้อขายหลักทรัพย์
  • การดูแลการปฏิบัติงานของบริษัทสมาชิก

[แก้] 4 การเผยแพร่และให้บริการสารสนเทศเพื่อการลงทุน

  • ระบบบริการข้อมูลหลักทรัพย์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
  • เว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ
  • สิ่งพิมพ์และเอกสารเผยแพร่ของตลาดหลักทรัพย์ฯ
  • ห้องสมุดมารวย
  • S-E-T Call Center

[แก้] 5 การส่งเสริมความรู้ให้แก่ผู้ลงทุนและผู้ที่เกี่ยวข้องในธุรกิจหลักทรัพย์

ตลาดหลักทรัพย์ฯได้ดำเนินกิจกรรมเพื่อส่งเสริมความรู้ให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง โดยได้จัดตั้งสถาบันพัฒนาความรู้ตลาดทุน (Thailand Securities Institute:TSI) เพื่อส่งเสริมความรู้ในด้านการเงินการลงทุนแก่ผู้ลงทุนเยาวชนและประชาชนทั่วไป ให้มีความรู้ความเข้าใจและความสามารถในการบริหารจัดการการเงิน อันจะนำไปสู่การมีสุขภาพทางการเงินที่ดีในอนาคต ตลอดจนพัฒนาความรู้และทักษะในการประกอบอาชีพให้แก่บุคลากรในธุรกิจหลักทรัพย์ โดยยึดหลักความมีจริยธรรมควบคู่กับความเป็นม่อาชีพที่จะให้บริการแก่ประชาชน โดยให้ความรู้ผ่านกิจกรรมอบรมและสัมนาในหลักสูตรต่างๆ ที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งพัฒนาสื่อการเรียนรู้หลากหลายรูปแบบเช่น หนังสือ วารสาร และสื่อการเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ตลอดจนร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษาที่เป็นพันธมิตรจัดตั้ง"มุมความรู้ตลาดทุน" (SET CORNER) ซึ่งเป็นเสมือนห้องสมุดสาขาย่อยของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในสถาบันอุดมศึกษาต่างๆ ทั่วประเทศ

นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯได้จัดตั้งบริษัทย่อยคือ บริษัท แฟมมิลี่ โนฮาว จำกัด เพื่อทำหน้าที่ผลิตและเผยแพร่สื่อความรู้และรายการสาระบันเทิงสอดแทรกความรู้ ที่เน้นเนื้อหาสาระด้านการจัดการการเงินส่วนบุคคลและการลงทุน เพื่อเผยแพร่ความรู้ไปยังผู้เกี่ยวข้องและผู้ที่สนใจอย่างแพร่หลายผ่านสื่อต่างๆ และมีการร่วมมือกับสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 จัดตั้งสถานีโทรทัศน์ "Money Channel" เพื่อให้ความรู้ข่าวสารเศรษฐกิจและการลงทุน!!!

[แก้] บทบาทของตลาดหลักทรัพย์ฯต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ

  • ประโยชน์ต่อการจัดสรรเงินออมและการลงทุนในระยะยาว ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นสถาบันการเงินที่มีความสำคัญในตลาดทุนและตลาดการเงินไทย ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการซื้อขายหลักทรัพย์ และเป็นกลไกหรือตัวกลางในการระดมเงินออมหรือเงินทุนส่วนเกินจากภาคครัวเรือนมาจัดสรรสู่ภาคการผลิตที่ต้องการเงินทุน ทำให้การออมและการลงทุนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้มีเงินออมมีแรงจูงใจในการออมและมีทางเลือกในการออมและการลงทุนเพิ่มมากขึ้น เมื่อเงินออมเข้าสู่ระบบการเงินผ่านกลไกตลาดทุนมากขึ้น ก็จะมีช่องทางและโอกาสในการระดมทุนระยะยาวในตลาดทุนเพิ่มขึ้นด้วย ทำให้การใช้ทรัพยากรหรือเงินออมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สนับสนุนการพัฒนาธุรกิจและระบบเศรษฐกิจโดยตรง
  • ประโยชน์ต่อการปรับโครงสร้างทางการเงินของธุรกิจ การระดมเงินทุนจากตลาดทุนโดยผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการระดมทุนของธุรกิจต่างๆ นอกเหนือจากการกู้เงินจากสถาบันการเงินโดยทั่วไป ทำให้กิจการนั้นสามารถระดมเงินทุนระยะยาวเพื่อใช้ในการลงทุนและดำเนินธุรกิจได้ตามที่ต้องการโดยไม่ต้องมีภาระจากดอกเบี้ยเงินกู้และสัดส่วนหนี้ที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับส่วนของเจ้าของ
  • เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของกิจการ การที่บริษัทจดทะเบียนสามารถระดมทุนผ่านตลาดทุนโดยการออกหลักทรัพย์และเสนอขายต่อผู้ถือหุ้นและผู้ลงทุนทั่วไปนั้น ถือเป็นโอกาสอันดีสำหรับผู้ลงทุนหรือผู้มีเงินออมที่จะได้มีส่วนร่วมเป็นเจ้าของกิจการต่างๆ ที่เสนอขายหลักทรัพย์ดังกล่าว
  • ช่วยขยายฐานภาษีของรัฐบาล เนื่องจากบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตลาดเอ็ม เอ ไอ เป็นกิจการที่มีการบริหารจัดการที่เป็นมาตารฐานและโปร่งใส มีระบบบัญชีที่ดีรวมทั้งมีการจัดทำงบการเงินและรายงานผลการดำเนินงานที่ถูกต้องและเป็นไปตามมาตรฐาน และมีการเปิดเผยขัอมูลไปยังผู้ลงทุนและผู้ทีเกี่ยวข้องอื่นๆ อย่างแพร่หลาย ซึ่งข้อมูลและรายงานทางการเงินดังกล่าวนอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ลงทุนในการวิเคราะห์การลงทุนและเป็นประโยชน์ต่อเจ้าหน้าที่ของบริษัทในการวิเคราะห์การลงทุนและติดตามฐานะทางการเงินของธุรกิจแล้ว ยังเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องอีกด้วย โดยเป็นข้อมูลฐานภาษีที่ถูกต้องและจะช่วยให้การจัดเก็บภาษีที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของบริษัทเป็นไปอย่างสะดวก ถูกต้องและครบถ้วนอีกด้วย
  • ช่วยลดภาระหนี้ต่างประเทศ การนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพื่อต้องการระดมทุนนั้น นับเป็นการระดมเงินทุนโดยผ่านตลาดทุนในประเทศเพื่อธุรกิจภายในประเทศ เงินทุนที่บริษัทจดทะเบียนต่างๆ ระดมมาได้นั้น จะถูกใช้ไปในกระบวนการดำเนินธุรกิจที่เกิดขึ้นในประเทศเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในธุรกิจประเภทใหม่หรือขยายกิจการ ดังนั้นตลาดหลักทรัพยฯ จึงทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญที่ช่วยตอบสนองความต้องการเงินทุนของธุรกิจภายในประเทศซึ่งนอกจากจากจะลดความต้องการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินภายในประเทศแล้ว ยังช่วยลดความต้องการกู้ยืมเงินตราจากต่างประเทศได้อีกด้วย
  • เป็นดัชนีชี้การพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศ ตลาดหลักทรัพย์ฯเป็นทั้งแหล่งระดมทุนและแหล่งลงทุนนี่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นที่สนใจของธุรกิจที่ต้องการเงินทุน และผู้ที่มีเงินออมที่ต้องการจะลงทุนรวมทั้งเป็นกลไกสำคัญในการระดมเงินทุนและจัดสรรเงินทุนระยะยาวให้แก่ภาคธุรกิจต่างๆ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนตลาดทุนและระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ดังนั้นภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์ในขณะนั้นๆ จะมีความสำคัญและสัมพันธ์กับทิศทางและแนวโน้มของพัฒนาการทางเศรษฐกิจ เนื่องจากกลไกตลาดทุนในขณะนั้นจะสะท้อนถึงความต้องการเพื่อการลงทุนของภาคการผลิตและความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าพัฒนาการและภาวะของตลาดหลักทรัพย์ฯเป็นดัชนีชี้การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศที่สำคัญประการหนึ่ง

[แก้] ที่มาของสัญลักษณ์และการตั้งชื่อตลาดหลักทรัพย์

Stock Exchange of Thailand logo.gif

การตั้งชื่อตลาดหลักทรัพย์ฯ และการกำหนดตราสัญลักษณ์ประจำองค์กรเกิดจากแนวคิดของหยิน-หยาง จากการบอกเล่าของคุณศุกรีย์ แก้วเจริญ ซึ่งเป็นกรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยคนแรก (2517-2521) ได้กล่าวว่า[4]

Cquote1.svg

ผมไปเยี่ยมท่านไกรศรี นิมมานเหมินท์ ที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งขณะนั้นท่านเป็นกรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ท่านได้พาผมไปโรงงานเซรามิกที่สันกำแพง ที่นี่เขามีสัญลักษณ์เป็นตราปลาตัวผู้ตัวเมียไล่กันเป็นวงกลมอยู่ในจาน ความหมายก็คือ หยินและหยาง เป็นสิ่งคู่กันแต่มันแตกต่างกัน และต้องเป็นไปตามวัฏจักรวนเวียนอย่างนี้ เหมือนความมืดกับความสว่าง เปรียบเสมือนตลาดหลักทรัพย์ที่ต้องมีอุปสงค์และอุปทานคู่กัน และกลไกตลาดย่อมหมุนเวียนขึ้นลง จึงได้นำมาเป็นโลโก้ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มีสีทองและสีดำ เพื่อจะสะท้อนความคิดและเป็นการเตือนผู้ลงทุนในหลักทรัพย์ได้ตระหนักว่า ตลาดทุนมีขึ้นมีลงและหมุนเวียนเปลี่ยนไปไม่คงที่ ส่วนการตั้งชื่อภาษาไทย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ ภาษาอังกฤษ Securities Exchange of Thailand นั้นเป็นความตั้งใจที่จะใช้ชื่อภาษาอังกฤษอย่างนี้ ไม่ใช่ความผิดพลาดอะไร เพราะตลาดหลักทรัพย์ฯ ในยุคแรกทำหน้าที่ 2 อย่าง ทั้งกำกับดูแลและเป็นตลาดแลกเปลี่ยนชื้อขายหลักทรัพย์ หากดูแผนพัฒนาตลาดทุนระยะยาวได้มองไว้ข้างหน้าเมื่อตลาดหลักทรัพย์ฯ เติบโตจะต้องมีการแยกหน่อยงานกำกับการซื้อขายและดูแลพัฒนาตลาดทุนออกจากกันต่อไป

Cquote2.svg

[แก้] รายนามผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์

  • 1 นายศุกรีย์ แก้วเจริญ ดำรงตำแหน่ง : วันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2517 - 29 มิถุนายน พ.ศ. 2521
  • 2 นายณรงค์ จุลชาต ดำรงตำแหน่ง : วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2521 - 6 สิงหาคม พ.ศ. 2533
  • 3 นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ดำรงตำแหน่ง : วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2523 - 31 มีนาคม พ.ศ. 2525
  • 4 นางสิริลักษณ์ รัตนากร ดำรงตำแหน่ง : วันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2525 - 31 สิงหาคม พ.ศ. 2528
  • 5 ดร. มารวย ผดุงสิทธิ์ ดำรงตำแหน่ง : วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2528 - 30 มิถุนายน พ.ศ. 2535
  • 6 นายเสรี จินตนเสรี ดำรงตำแหน่ง : วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2535 - 30 มิถุนายน พ.ศ. 2539
  • 7 นายสิงห์ ตังทัตสวัสดิ์ ดำรงตำแหน่ง : วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2539 - 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2542
  • 8 นายวิชรัตน์ วิจิตรวาทการ ดำรงตำแหน่ง : วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2542 - 31 สิงหาคม พ.ศ. 2544
  • 9 นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ดำรงตำแหน่ง : วันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2544 - วันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2549
  • 10 นางภัทรียา เบญจพลชัย ดำรงตำแหน่ง : วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2549 - วันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
  • 11 นายจรัมพร โชติกเสถียร ดำรงตำแหน่ง : วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2553 - วันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

[5]

[แก้] ดัชนีกลุ่มอุตสาหกรรม และดัชนีหมวดอุตสาหกรรม

นอกเหนือไปจากดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยซึ่งถูกคำนวณจากราคาหุ้นสามัญของทุก ๆ บริษัทจดทะเบียนในกระดานหลักแล้ว ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยยังได้สร้างดัชนีกลุ่มอุตสาหกรรม และหมวดอุตสาหกรรม ซึ่งคำนวณจากราคาหุ้นสามัญทั้งหมด ที่อยู่ในแต่ละกลุ่มหรือหมวดอุตสาหกรรม

ดัชนีกลุ่มอุตสาหกรรม ถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2546 โดยมีระดับดัชนีเริ่มต้นที่ 100 จุด

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประกอบไปด้วย 8 กลุ่มอุตสาหกรรมดังต่อไปนี้

  1. เกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร
  2. สินค้าอุปโภคบริโภค
  3. ธุรกิจการเงิน
  4. สินค้าอุตสาหกรรม
  5. อสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง
  6. ทรัพยากร
  7. บริการ
  8. เทคโนโลยี

[แก้] หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าตลาดสูงสุด

10 อันดับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าตามราคาตลาดสูงสุด (ข้อมูลเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2552)

อันดับ บริษัท มูลค่าตลาด (ล้านบาท) หมวด ตัวย่อ
1 ปตท. 516,802,362,375 พลังงานและสาธารณูปโภค PTT
2 ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม 380,314,706,000 พลังงานและสาธารณูปโภค PTTEP
3 แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส 223,611,335,799 เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ADVANC
4 ปูนซีเมนต์ไทย 140,400,000,000 วัสดุก่อสร้าง SCC
5 ธนาคารกรุงเทพ 136,482,266,921 ธนาคาร BBL
6 ธนาคารไทยพาณิชย์ 131,592,884,118 ธนาคาร SCB
7 ธนาคารกสิกรไทย 114,278,174,216 ธนาคาร KBANK
8 โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น 72,218,235,500 เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร DTAC
9 บ้านปู 67,393,468,040 พลังงานและสาธารณูปโภค BANPU
10 ธนาคารกรุงศรีอยุธยา 59,526,608,721 ธนาคาร BAY

[แก้] บริษัทย่อยของตลาดหลักทรัพย์ฯ

  • บริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด
  • บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมเพื่อผู้ลงทุนต่างด้าว จำกัด
  • บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด
  • บริษัท สยามดีอาร์ จำกัด
  • บริษัท เซ็ทเทรด ดอตคอม จำกัด
  • บริษัท แฟมมิลี่ โนฮาว จำกัด
  • บริษัท ตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

[แก้] รายชื่อบริษัทสมาชิกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

หมายเลข ชื่อบริษัท ชื่อย่อ
1 บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) BLS
2 บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด TSC
3 บริษัทหลักทรัพย์ แอ๊ดคินซัน จำกัด (มหาชน) ASL
4 บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด DBSV
5 บริษัทหลักทรัพย์ ซิกโก้ จำกัด (มหาชน) SICSEC
6 บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) PHATRA
7 บริษัทหลักทรัพย์ บีที จำกัด BTSEC
8 บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส จำกัด (มหาชน) ASP
9 บริษัทหลักทรัพย์ เครดิต สวิส (ประเทศไทย) จำกัด CS
10 บริษัทหลักทรัพย์ เอเพกซ์ จำกัด APEX
11 บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) KSEC
12 บริษัทหลักทรัพย์ นครหลวงไทย จำกัด SCIBS
13 บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) KGI
14 บริษัทหลักทรัพย์ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) CNS
15 บริษัทหลักทรัพย์ สินเอเชีย จำกัด ACLS
16 บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) TNS
18 บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี จำกัด KTBS
19 บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคิน จำกัด KKS
21 บริษัทหลักทรัพย์ เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด MERCHANT
22 บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด TRINITY
23 บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด SCBS
24 บริษัทหลักทรัพย์ ไซรัส จำกัด SYRUS
25 บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด GLOBLEX
26 บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) UOBKHST
27 บริษัทหลักทรัพย์ บีพิท จำกัด (มหาชน) BFITSEC
28 บริษัทหลักทรัพย์ ทีเอ็มบี แมคควอรี (ประเทศไทย) จำกัด TMBMACQ
29 บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) AYS
30 บริษัทหลักทรัพย์ ไอ วี โกลบอล จำกัด (มหาชน) IVG
32 บริษัทหลักทรัพย์ ฟาร์อีสท์ จำกัด FES
33 บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันซ่า จำกัด FINANSA
34 บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) PST
38 บริษัทหลักทรัพย์ ยูไนเต็ด จำกัด (มหาชน) US
41 บริษัทหลักทรัพย์ เจพีมอร์แกน (ประเทศไทย) จำกัด JPM
42 บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) KIMENG
43 บริษัทหลักทรัพย์ ซีไอเอ็มบี-จีเอ (ประเทศไทย) จำกัด CIMB-GK
45 บริษัทหลักทรัพย์ ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) จำกัด CLSA
47 บริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก จำกัด (มหาชน) ZMICO
48 บริษัทหลักทรัพย์ พรูเด้นท์ สยาม จำกัด PSS
49 บริษัทหลักทรัพย์ ยูบีเอส (ประเทศไทย) จำกัด UBS

[แก้] เหตุการณ์ที่สำคัญ

  • 30 เมษายน พ.ศ. 2518: วันเปิดตลาดครั้งแรกที่ชั้น 4 ศูนย์การค้าสยาม มีบริษัทจดทะเบียนจำนวน 8 บริษัท บริษัทรับอนุญาต 3 บริษัท นำหลักทรัพย์เข้ามาซื้อขายรวม 14 หลักทรัพย์ และมีหลักทรัพย์ภาครัฐบาล 2 หลักทรัพย์ รวมทั้งสิ้น 16 หลักทรัพย์ ซึ่งการซื้อขายในวันแรกมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1.98 ล้านบาท
    • บริษัทจดทะเบียนครั้งแรกประกอบไปด้วย
    • ธนาคารกรุงเทพ จำกัด
    • บรรษัทเงินทุนอุตสหกรรมแห่งประเทศไทย
    • บริษัท ดุสิตธานี จำกัด
    • บริษัท บางกอกอินเวสท์เมนท์ จำกัด
    • บริษัท เบอร์ลี่ยุคเกอร์ จำกัด
    • บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด
    • บริษัท เดอะเมตัลบ๊อกซ์ ประเทศไทย จำกัด
    • บริษัท อุตสหกรรมทำเครื่องแก้วประเทศไทย จำกัด
    • บริษัทรับอนุญาตประกอบไปด้วย
    • บริษัท เจ แอนด์ เจ โฮ จำกัด
    • บริษัท ลีกวงมิ้งทรัสต์ จำกัด
    • บริษัท เจเนอรัลไฟแนนส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด
  • 17 มีนาคม พ.ศ. 2519: ดัชนีทำจุดต่ำสุดที่ 76.44 จุดต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องมาจากการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ยังไม่เป็นที่แพร่หลายในช่วงนั้นนั่นเอง
  • 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2525: ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยย้ายที่ทำการจากอาคารศูนย์การค้าสยามมาอยู่ที่อาคารสินธร ถนนวิทยุ
  • 19 ตุลาคม พ.ศ. 2530: วันจันทร์ทมิฬ (Black Monday) - ตลาดหุ้นดาวโจนส์ลดต่ำลงอย่างรวดโดยลดลงกว่า 509.32 จุดภายในวันเดียว เป็นผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกตกลงกันถ้วนหน้า ตลาดฮั่งเส็งในฮ่องกง ตกลงกว่า 420.81 จุด และมีผลถึงตลาดหุ้นไทยที่นักลงทุนหมดความเชื่อมั่นจนมีการสั่งขายหุ้นเป็นจำนวนมากโดยดัชนีจาก 459.01 จุด ได้ลดลง 13 จุดภายในวันแรกก่อนที่วันต่อมาจะลดลง 36.64 จุด และลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาเกือบ 2 เดือน โดยในวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2530 ดัชนีอยู่ที่ระดับ 243.97 จุด
  • 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2534: มีการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ ASSET มาใช้กับการซื้อขายหลักทรัพย์อย่างเต็มรูปแบบ แทนที่ระบบการซื้อขายโดยการเคาะกระดานแบบเดิม โดยระบบ ASSET ได้ถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกในวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2534 โดยเริ่มจากการซื้อขายหลักทรัพย์ประเภทหน่วยลงทุนเป็นลำดับแรก
  • 4 มกราคม พ.ศ. 2537: ดัชนีราคาหุ้นได้สร้างจุดสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยอยู่ที่ระดับ 1,753.73 จุด
  • เมษายน พ.ศ. 2541: ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยย้ายที่ทำการจากอาคารสินธร ถนนวิทยุมายังที่ทำการอาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยถนนรัชดาภิเษก ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานของตนเอง
  • 23 มกราคม พ.ศ. 2549: มูลค่าการซื้อขายในตลาดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ภายในวันเดียว โดยมีมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้นกว่า 94,062.04 ล้านบาท โดยเป็นมูลค่าการซื้อขายหุ้น SHIN กว่า 57,058.10 ล้านบาท
  • 19 ธันวาคม พ.ศ. 2549: ธนาคารแห่งประเทศไทยออกมาตรการกันสำรอง 30% เพื่อป้องกันกันเก็งกำไรค่าเงินบาท ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติตื่นตระหนกพากันเทขายหุ้น โดยดัชนีหลักทรัพย์ได้ลดลงต่ำที่สุดกว่า 142.63 จุดหรือ 19.52% ซึ่งเป็นการลดลงต่ำที่สุดภายในวันเดียวที่มากที่สุดในประวัติศาสาตร์ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก่อนที่จะปิดตลาดที่ติดลบ 108.41 จุด หรือลดลงกว่า 14.84% และมีการใช้มาตรการ Circuit Breaker เป็นครั้งของตลาดในช่วงเวลา 11.26 ซึ่งเป็นช่วงที่ดัชนีลดลงกว่า 74.06 หรือ 10.14%
  • 10 ตุลาคม พ.ศ. 2551: ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) สั่งใช้มาตรการเซอร์กิต เบรกเกอร์ (circuit breaker) หยุดทำการซื้อขายหุ้นเป็นการชั่วคราว 30 นาที ตั้งแต่เวลา 14.35 น. ถึง 15.05 น. เนื่องจากตลาดหุ้นไทย ลดลงมากกว่า 10 % เป็นครั้งที่ 2 ของประเทศไทย นับตั้งแต่ วันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2549 เป็นต้นมา ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ณ เวลา 14.35 น. อยู่ที่ 449.91 จุด ลดลง 50.08 จุด ลดลง 10.02 %
  • 27 ตุลาคม พ.ศ. 2551:ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) สั่งใช้มาตรการเซอร์กิต เบรกเกอร์ (circuit breaker) หยุดทำการซื้อขายหุ้นเป็นการชั่วคราว 30 นาที ตั้งแต่เวลา 16.04 น. ถึง 16.34 น. เนื่องจากตลาดหุ้นไทย ลดลงมากกว่า 10 % เป็นครั้งที่ 3 ของประเทศไทย และครั้งที่ 2 ในปีนี้ โดยเมื่อเวลา 16.04 น. ดัชนีร่วงลง 10% อยู่ที่ระดับ 389.58 จุด หรือลดลง 43.29 จุด หลังเปิดการซื้อขายอีกครั้งในรอบที่ 2 ดัชนียังคงปรับลดลงต่อเนื่อง โดยปิดตลาดช่วงบ่ายที่ระดับ 387.43 จุด ลดลง 45.44 จุด หรือลดลง 10.50 % ดัชนีต่ำที่สุดในรอบ 6 ปี
  • 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552:ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ต่ำที่สุดในไตรมาศ 4/*2552* ดัชนีปิดที่ 681.91 จุด
  • 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553:กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ได้เผาทำลายชั้นล่างของอาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หลังจากที่แกนนำกลุ่ม น.ป.ช. ได้มอบตัว ทำให้การซื้อขายหุ้นของตลาดหลักทรัพย์ ซื้อขายได้เพียงครึ่งวันเช้าเท่านั้น ต่อมาได้ปิดทำการในวันที่20 พฤษภาคมและ21 พฤษภาคมตามลำดับ

[แก้] อ้างอิง

  1. ^ http://www.set.or.th
  2. ^ ภาพรวมตลาดหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
  3. ^ รศ.จิรัตน์ สังข์แก้ว,รู้วิเคราะห์ เจาะเรื่องหุ้น,เจเอสบี พับลิชชิ่ง,กรุงเทพฯ ,2548,หน้า 80-81,ISBN 974-93714-1-0
  4. ^ การเดินทางแห่งชีวิต 30ปี ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย,อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง,2548,หน้า 27,ISBN 974-93040-2-0
  5. ^ การเดินทางแห่งชีวิต 30ปี ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย,อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง,2548,หน้า 183-187,ISBN 974-93040-2-0

[แก้] ดูเพิ่ม

[แก้] แหล่งข้อมูลอื่น