สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
-
บทความนี้เกี่ยวกับสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ สำหรับสมเด็จพระราเมศวรพระองค์อื่น ดูที่ พระราเมศวร
ราชวงศ์ | ราชวงศ์สุพรรณภูมิ |
ครองราชย์ | พ.ศ. 1991 |
ระยะครองราชย์ | 40 ปี |
รัชกาลก่อนหน้า | สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 |
รัชกาลถัดไป | สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 |
พระพุทธปฏิมา ประจำรัชกาล |
พระพุทธรูปปางชี้อัครสาวก ณ หอราชกรมานุสรณ์ |
สวรรคต | พ.ศ. 2031 |
พระราชชนก | สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 |
พระราชชนนี | พระราชธิดาในพระมหาธรรมราชาที่ 3 แห่งกรุงสุโขทัย |
พระมเหสี | ไม่ปรากฏพระนาม |
พระราชโอรส/ธิดา | - พระอินทราชา - พระบรมราชา (สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3) - พระเชษฐา (สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2) |
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ หรือ สมเด็จพระราเมศวรบรมไตรโลกนาถบพิตร มีพระนามเดิมว่า สมเด็จพระราเมศวร เสด็จพระราชสมภพ เมื่อปี พ.ศ. 1974 ทรงขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 8 แห่งกรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. 1991 ทรงมีพระราชสมัญญาอีกพระนามหนึ่งว่า พระเจ้าช้างเผือก เนื่องจาก เมื่อปี พ.ศ. 2014 พระองค์ได้ทรงรับช้างเผือก ซี่งนับเป็นช้างเผือกเชือกแรกของกรุงศรีอยุธยา
เนื้อหา |
[แก้] พระราชประวัติ
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระราชสมภพที่อยุธยา แต่เติบโตและมีชีวิตในวัยเยาว์ที่พิษณุโลก พระองค์ทรงครองราชเป็นเวลานานที่สุดในบรรดากษัตริย์อยุธยา โดยเป็นพระโอรสในพระเจ้าสามพระยา มีพระราชมารดาเชื้อสายราชวงศ์พระร่วง พระนามมีความหมายถึง "พระพุทธเจ้า" หรือ "พระอิศวร" มีผู้ที่เข้าใจว่าคงเป็นพระสหายมาตั้งแต่วัยเยาว์ชื่อ "ยุทธิษฐิระ" ซึ่งตอนหลังกลายมาเป็นผู้ชักนำศึกเข้ามา หลังการขึ้นครองราชย์แล้ว ก็เสด็จมาประทับที่อยุธยาในช่วงแรกของการครองราชย์ อีกครึ่งหนึ่งเสด็จมาประทับที่พิษณุโลก เชื่อว่าคงเป็นไปเพื่อการควบคุมดูแลหัวเมืองทางด้านเหนือ และคานอำนาจของอาณาจักรทางเหนือ คือ อาณาจักรล้านนา ซึ่งกำลังมีความเข้มแข็งและต้องการแผ่อำนาจลงมาทางใต้ ในยุคของพระเจ้าติโลกราช
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเสด็จสวรรคต เมื่อปี พ.ศ. 2031 เมื่อพระชนมายุ 57 พรรษา ทรงครองราชย์ได้ 40 ปี ยาวนานที่สุดของอาณาจักรอยุธยา และเป็นลำดับ 3 ของพระมหากษัตริย์ไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน พระองค์ประทับอยู่ที่กรุงศรีอยุธยาประมาณ 20 ปี ที่เหลือทรงประทับที่เมืองพิษณุโลกตลอดรัชกาล
[แก้] พระราชกรณียกิจ
[แก้] ด้านการปกครอง
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงปฏิรูปการปกครองโดยมีการแบ่งงานฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือนออกจากกันอย่างชัดเจน ให้สมุหพระกลาโหมดูแลฝ่ายทหาร และให้สมุหนายกดูแลฝ่ายพลเรือน รวมทั้งจตุสดมภ์ในราชธานี
การปกครองในส่วนภูมิภาค ได้ยกเลิกระบบการปกครองหัวเมืองต่าง ๆ แต่เดิมที่แบ่งออกเป็นเมืองลูกหลวง หลานหลวง[ต้องการอ้างอิง] แล้วระบบการปกครองหัวเมืองเสียใหม่ ดังนี้
- หัวเมืองชั้นใน เช่น เมืองราชบุรี นครสวรรค์ นครนายก เมืองฉะเชิงเทรา และปราจีนบุรี เป็นต้น จัดเป็นเมืองจัตวา พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งผู้ที่เหมาะสมไปปกครอง แต่สิทธิอำนาจทั้งหมดยังขึ้นอยู่กับองค์พระมหากษัตริย์
- หัวเมืองชั้นนอก หรือเมืองพระยามหานคร เช่น เมืองพิษณุโลก สุโขทัย นครราชสีมา และทวาย จัดเป็น เมือง เอก โท ตรี พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งพระราชวงศ์หรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ไปเป็นเจ้าเมืองมีอำนาจบังคับบัญชาเป็นสิทธิขาด เป็๋นผู้แทนองค์พระมหากษัตริย์ มีกรมการปกครองในตำแหน่ง เวียง วัง คลัง นา เช่นเดียวกับของทางราชธานี
- เมืองประเทศราช คงให้เจ้าเมืองปกครองกันเอง เพียงแต่ส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายตามกำหนด และเกณฑ์ผู้คนและทรัพย์สินเพื่อช่วยราชการสงคราม
สำหรับการปกครองส่วนท้องถิ่น ให้จัดเป็นหมู่บ้าน มีผู้ใหญ่บ้านปกครองดูแล ตำบล มีกำนันเป็นหัวหน้า แขวง มีหมื่นแขวงเป็นหัวหน้า
มีการแต่งตั้งตำแหน่งข้าราชการให้มีบรรดาศักดิ์ตามลำดับจากต่ำสุดไปสูงสุดคือ ทนาย พัน หมื่น ขุน หลวง พระ พระยา และเจ้าพระยา มีการกำหนดศักดินาเพื่อเป็นค่าตอบแทนการรับราชการ และได้อาศัยใช้เป็นเกณฑ์กำหนดการมีที่นาและการปรับไหมตามกฎหมาย
[แก้] กฎมณเฑียรบาล
ในปี พ.ศ. 2001 สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงตั้งกฎมณเฑียรบาล ขึ้นเป็นกฎหมายสำหรับการปกครอง แบ่งออกเป็นสามแผน คือ[1]
- พระตำราว่าด้วยแบบแผนพระราชพิธีต่าง ๆ
- พระธรรมนูญว่าด้วยตำแหน่งหน้าที่ราชการต่าง ๆ
- พระราชกำหนดเป็นข้อบังคับสำหรับพระราชสำนัก
[แก้] ด้านวรรณกรรม
ในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระองค์ได้โปรดเกล้า ฯ ให้ประชุมนักปราชญ์ราชบัณฑิตแต่งหนังสือมหาชาติคำหลวง นับว่าเป็นวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา เรื่องแรกของกรุงศรีอยุธยา และเป็นวรรณคดีชั้นเยี่ยมที่ใช้เป็นแนวทางในการศึกษาภาษา และวรรณคดีของไทย นอกจากนี้ยังมีลิลิตพระลอ ซึ่งเป็นยอดวรรณคดีประเภทลิลิตของไทย
[แก้] อ้างอิง
- ^ ดนัย ไชยโยธา. (2543). พัฒนาการของมนุษย์กับอารยธรรมในราชอาณาจักรไทย เล่ม ๑. โอ.เอส. พริ้นติ้ง เฮ้าส์. หน้า 340.
[แก้] ดูเพิ่ม
|
|