ประวัติศาสตร์
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ประวัติศาสตร์ (อังกฤษ: History) คือ การศึกษาประวัติความเป็นมาของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จากการที่ได้บันทึกเก็บไว้ หรือประสบการณ์จากผู้มีอาวุโส
นักประวัติศาสตร์จะค้นพบข้อมูลจากแหล่งข้อมูลทางประวัติศาสตร์ต่าง ๆ เช่น จากบันทึกที่เป็นลายลักษณ์อักษร (การเขียนหรือการพิมพ์) เช่น จากบันทึกของเฮโรโดตุส (Herodotus) นักประวัติศาสตร์ชาวกรีกที่บันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ในทวีปยุโรปเป็นคนแรกของโลก เป็นต้น หรือเรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันโดยปากเปล่า รวมทั้งหลักฐานทางโบราณคดีจากการขุดค้นพบซากสิ่งของต่าง ๆ เช่น สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ ทั้งนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนที่มนุษย์รู้จักลายลักษณ์อักษรในยุคหินจะเรียกว่ายุคก่อนประวัติศาสตร์
[แก้] การบัญญัติศัพท์
คำว่า "ประวัติศาสตร์" ในภาษาไทย เกิดจากการสมาสคำศัพท์ภาษาบาลี "ประวัติ" (ปวตฺติ) ซึ่งหมายถึง เรื่องราวความเป็นไป และคำศัพท์ภาษาสันสกฤต "ศาสตร์" (ศาสฺตฺร) ซึ่งแปลว่า ความรู้ สำหรับศัพท์ "ประวัติศาสตร์" ในภาษาไทยถูกบัญญัติขึ้นโดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเทียบเคียงกับคำว่า "History" และเพื่อให้มีความหมายครอบคลุมมากกว่าคำว่า "พงศาวดาร" (Chronicle) ที่ใช้กันมาแต่เดิม
สำหรับคำว่า history ในภาษาอังกฤษ มีที่มาจากคำว่า historia ในภาษากรีก ซึ่งมีความหมายว่าการไต่สวนหรือค้นคว้า
[แก้] ความหมาย
นักปรัชญาประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงให้คำอธิบายถึงคำว่า "ประวัติศาสตร์" ไว้ เช่น
อาร์. จี. คอลลิงวูด (R. G. Collingwood) อธิบายว่าประวัติศาสตร์คือวิธีการวิจัยหรือการไต่สวน ... โดยมีจุดมุ่งหมายจะศึกษาเกี่ยวกับ ... พฤติการณ์ของมนุษยชาติที่เกิดขึ้นในอดีต (history is a kind of research or inquiry ... action of human beings that have been done in the past.)
อี. เอช. คาร์ (E. H. Carr) อธิบายว่าประวัติศาสตร์นั้นก็คือกระบวนการอันต่อเนื่องของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักประวัติศาสตร์กับข้อมูลของเขา ประวัติศาสตร์คือบทสนทนาอันไม่มีที่สิ้นสุดระหว่างปัจจุบันกับอดีต (What is history?, is that it is a continuous process of interaction between the present and the past.)
ส่วน ศ.ดร.ธงชัย วินิจจะกูล นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในสหรัฐอเมริกาอธิบายถึงคำว่าประวัติศาสตร์และเตือนผู้ศึกษา/อ่านประวัติศาสตร์ไว้น่าสนใจ ดังนี้ "การเข้าใจอดีตนั้นคือประวัติศาสตร์ ... เราต้องเข้าใจว่าความรู้เกี่ยวกับอดีตนั้นสร้างใหม่ได้เรื่อยๆ เพราะทัศนะมุมมองของสมัยที่เขียนประวัติศาสตร์นั้นเปลี่ยนอยู่เสมอ ..."
[แก้] วิธีการทางประวัติศาสตร์
วิธีการทางประวัติศาสตร์ หมายถึง กระบวนการศึกษาประวัติศาสตร์เพื่อให้ได้ความรู้และคำตอบที่เชื่อว่าสะท้อนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอดีตได้ถูกต้องมากที่สุด ซึ่งไม่มีใครสามารถตอบได้ว่าข้อเท็จจริงที่ถูกต้องคืออะไร ดังนั้น จึงต้องมีกระบวนการศึกษา และการใช้เหตุผลในการตรวจสอบความถูกต้องของหลักฐานและนำไปใช้อย่างถูกต้อง ทำให้การศึกษาประวัติศาสตร์เป็นศาสตร์ที่สะท้อนข้อเท็จจริงที่แตกต่างจากนิทาน นิยาย หรือเรื่องบอกเล่าที่เลื่อนลอย
การศึกษาประวัติศาสตร์เริ่มจากการตั้งคำถามพื้นฐานหลัก 5 คำถาม คือ "เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในอดีต" (What), "เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่" (When), "เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นที่ไหน" (Where), "ทำไมจึงเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น" (Why), และ "เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร" (How) วิธิการทางประวัติศาสตร์ประกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆ ได้แก่
- การรวบรวมหลักฐาน
- การคัดเลือกหลักฐาน
- การวิเคราะห์ ตีความ ประเมินหลักฐาน
- การเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของหลักฐาน
- การนำเสนอข้อเท็จจริง
นอกจากนี้ รอบิน จี. คอลลิงวูด (R. G. Collingwood) นักปรัชญาประวัติศาสตร์คนสำคัญชาวอังกฤษในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ผู้เป็นเจ้าของผลงานเรื่อง Idea of History ให้ความเห็นเกี่ยวกับวิธิการศึกษาประวัติศาสตร์ ดังนี้
- วิธีการศึกษาหลักฐานทางประวัติศาสตร์ต่างจากการศึกษาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์
- นักประวัติศาสตร์ต้องระมัดระวังในการยืนยันความถูกต้องของหลักฐาน
- การนำเสนอในลักษณะ "ตัด-แปะประวัติศาสตร์" ไม่ถูกต้องและเป็นวิธีการที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ควรนำเสนอโดยการประมวลความคิดให้เป็นข้อสรุป
- วิธีการทางประวัติศาสตร์ที่มีลักษณะเป็นแบบวิทยาศาสตร์คือการตั้งคำถาม
ประโยชน์ของการศึกษาประวัติศาสตร์จะช่วยให้มนุษย์เกิดสำนึกในการค้นคว้าและสืบค้นข้อมูลที่เชื่อมโยงอดีตและปัจจุบัน อันสร้างความภูมิใจและกระตุ้นความรู้สึกนิยมในชาติหรือเผ่าพันธุ์ ตลอดจนตระหนักถึงคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรมที่บรรพบุรุษสั่งสมไว้, ประวัติศาสตร์ช่วยให้เกิดการเรียนรู้จากอดีตเพื่อเป็นบทเรียนสำหรับปัจจุบัน องค์ความรู้ที่ได้จากการศึกษาประวัติศาสตร์จะทำให้เข้าใจถึงปัญหา สาเหตุของปัญหา และผลกระทบจากปัญหา, การศึกษาประวัติศาสตร์ก่อให้เกิดองค์ความรู้ที่หลากหลาย ซึ่งสามารถนำความรู้เหล่านั้นไปกำหนดยุทธศาสตร์ในการดำเนินนโยบายให้เป็นประโยชน์ต่อทั้งปัจจุบันและอนาคต, วิธีการทางประวัติศาสตร์ทำให้ผู้ศึกษาสั่งสมประสบการณ์และทักษะในการวิเคราะห์ ไต่สวน และแก้ปัญหา ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการศึกษาศาสตร์แขนงอื่น ๆ คุณสมบัตินี้นับเป็นองค์ประกอบสำคัญของการพัฒนาคุณภาพประชากรในสังคมที่เจริญก้าวหน้าและมีพัฒนาการสูง
สำหรับผู้ศึกษาประวัติศาสตร์นั้นจะต้องมีคุณสมบัติต่าง ๆ ประกอบด้วย
- มีความเป็นกลาง (Objectiveness or Objectivity)
- มีความคิดที่เป็นประวัติศาสตร์ (Historical thinking)
- มีความถูกต้องแม่นยำ (Accurary)
- มีความเป็นระเบียบในการจัดเก็บและบันทึกข้อมูล (Love of order)
- มีลำดับการทำงานที่เป็นตรรกะ (Logic)
- มีความซื่อสัตย์ในการแสวงหาข้อเท็จจริง (Honesty)
- มีความระมัดระวังในการใช้หลักฐาน (Self-awareness)
- มีจินตนาการ (Historical imagination)
[แก้] การจำแนกประเภทของการศึกษาประวัติศาสตร์
หากศึกษาพัฒนาการของการศึกษาประวัติศาสตร์ในดินแดนต่าง ๆ พบว่าการศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับอดีตของมนุษย์และสังคมของตนเริ่มจากสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวและค่อย ๆ ขยายไปสู่สังคมที่ไกลตัวออกไป โดยทั่วไปสามารถแบ่งขอบเขตการศึกษาประวัติศาสตร์ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ การศึกษาเฉพาะพื้นที่และการศึกษาเฉพาะหัวข้อ
[แก้] การศึกษาประวัติศาสตร์เฉพาะพื้นที่
คือการใช้พื้นที่ทางภูมิศาสตร์กำหนดขอบเขตของการศึกษา โดยเน้นศึกษาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในกรอบพื้นที่ จำแนกออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
- ประวัติศาสตร์โลก (World History)
คือการศึกษาเรื่องราวและพัฒนาการของสังคมโลกในลักษณะที่เป็นองค์รวม ไม่เน้นเขตพื้นที่ใดโดยเฉพาะ เช่น การศึกษาอารยธรรมโลก การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ การปฏิวัติอุตสาหกรรม การขยายตัวของลัทธิล่าอาณานิคม สงครามโลก และสงครามเย็น เป็นต้น
- ประวัติศาสตร์ชาติ (National History)
คือการศึกษาเรื่องราวและเหตุการณ์ต่าง ๆ ของแต่ละประเทศ
- ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น (Local History)
คือการศึกษาประวัติศาสตร์ในเขตพื้นที่เฉพาะ เช่น ประวัติศาสตร์ชุมชน ประวัติศาสตร์เมือง/จังหวัด โดยเนื้อเรื่องที่ศึกษาอาจจะเน้นในด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม กำเนิด/พัฒนาการของสถาบันใดสถาบันหนึ่งในท้องถิ่น อาชีพ กลุ่มชนต่าง ๆ เชื้อชาติ ศาสนา และประเพณีในท้องถิ่น ฯลฯ
[แก้] การศึกษาเฉพาะหัวข้อ
คือการศึกษาประวัติศาสตร์เฉพาะด้านในดินแดนต่าง ๆ เดิมแบ่งการศึกษาออกเป็นหัวข้อใหญ่ ดังนี้
- ประวัติศาสตร์การเมือง
- ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ
- ประวัติศาสตร์สังคม
ต่อมา เมื่อการศึกษาประวัติศาสตร์มีพัฒนาการมากขึ้น ทำให้มีการศึกษาในหัวข้อเฉพาะและลึกซึ้งมากกว่าเดิม เช่น
- ประวัติศาสตร์วัฒนธรรม
- ประวัติศาสตร์พรรคการเมือง
- ประวัติศาสตร์การทหาร
- ประวัติศาสตร์การทูต
- ประวัติศาสตร์พัฒนาการของกลุ่มชาติพันธุ์
- ประวัติศาสตร์สตรี
- ประวัติศาสตร์สงคราม
- ประวัติศาสตร์ลัทธิทุนนิยม
- ประวัติศาสตร์ศิลปะ
- ประวัติศาสตร์การละคร
- ประวัติศาสตร์นิพนธ์ ฯลฯ
[แก้] การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
[แก้] การแบ่งยุคสมัยในประวัติศาสตร์ยุโรป
ความนิยมในการแบ่งยุคสมัยของประวัติศาสตร์ยุโรปมักแบ่งเป็น 3 สมัย ได้แก่
อย่างไรก็ดี การกำหนดเวลาเริ่มต้นของแต่ละสมัยสมัยนั้นยังไม่เป็นที่ยุติ เช่น นักประวัติศาสตร์บางท่านถือเอาว่าประวัติศาสตร์สมัยกลางเริ่มต้นใน ค.ศ. 284 อันเป็นปีที่จักรพรรดิไดโอคลิเซียน (Diocletian) ขึ้นครองราชย์ แต่บางท่านก็เห็นว่าควรเริ่มต้นใน ค.ศ. 476 ปีที่อาณาจักรโรมันตะวันตกล่มสลายลง เป็นต้น
[แก้] การแบ่งยุคสมัยในประวัติศาสตร์ไทย
ในอดีตการจัดแบ่งยุคทางประวัติศาสตร์ของไทยนั้น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงแสดงพระทัศนะไว้ในพระนิพนธ์เรื่อง "ตำนานหนังสือพระราชพงศาวดาร" ในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาเมื่อ พ.ศ. 2457 ถึงการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ของไทยไว้ว่า "เรื่องพระราชพงศาวดารสยาม ควรจัดแบ่งเป็น 3 ยุค คือ เมื่อกรุงสุโขทัยเป็นราชธานียุค 1 เมื่อกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานียุค 1 เมื่อกรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานียุค 1"
ส่วน ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์เสนอถึงหัวข้อสำคัญที่ควรเป็นแกนกลางของประวัติศาสตร์แห่งชาติไทยไว้ 8 หัวข้อ ดังนี้
- การตั้งถิ่นฐานของผู้คน นับตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ถึงยุคประวัติศาสตร์ตอนต้น
- การเข้ามาของอารยธรรมใหญ่ คืออินเดียและจีน
- ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในคริสต์ศตวรรษที่ 13
- ยุคสมัยของการค้า (คริสต์ศตวรรษที่ 15-17)
- ประเทศไทยก่อนสมัยใหม่
- รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์สยาม
- การปฏิวัติ 2475 และกำเนิดรัฐประชาชาติในทางทฤษฎี
- การปฏิวัติ 14 ตุลาคม 2516
[แก้] นักประวัติศาสตร์คนสำคัญ
[แก้] นักประวัติศาสตร์สากล
[แก้] นักประวัติศาสตร์จีน
[แก้] นักประวัติศาสตร์อินเดีย
[แก้] นักประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
- ศาสตราจารย์ดี.จี.อี.ฮอลล์ (D.G.E. Hall)
- เดวิด เค. วัยอาจ (David K. Wyatt)
[แก้] นักประวัติศาสตร์ไทย
- สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ (พ.ศ. 2405-2486)
- ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์ พ.ศ. 2440-2523)
- หลวงวิจิตรวาทการ (วิจิตร วิจิตรวาทการ พ.ศ. 2441-2505)
- ศ. (พิเศษ) ขจร สุขพานิช (พ.ศ. 2456-2521)
- ศ.ดร.ประเสริฐ ณ นคร (พ.ศ. 2461-ปัจจุบัน)
- จิตร ภูมิศักดิ์ (พ.ศ. 2473-2509)
- รศ.ศรีศักร วัลลิโภดม (พ.ศ. 2481-ปัจจุบัน)
- ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ (พ.ศ. 2483-ปัจจุบัน)
- ไมเคิล ไรท์ (พ.ศ. 2483-2552)
- ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ (พ.ศ. 2484-ปัจจุบัน)
[แก้] การเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ระดับอุดมศึกษาในประเทศไทย
เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาโรงเรียนข้าราชการพลเรือนเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยใน พ.ศ. 2459 มีการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ขึ้นเป็นวิชาความรู้พื้นฐานสำหรับนิสิตในคณะต่าง ๆ (นโยบายนี้ยังปรากฏในหลักสูตรของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในปัจจุบัน) ซึ่งเปิดสอนใน พ.ศ. 2477 ด้วย) ต่อมา ในปลายปี พ.ศ. 2466 เมื่อสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมขุนสงขลานครินทร์ทรงดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมมหาวิทยาลัย ทรงดำเนินการปรับปรุงคณะแพทยศาสตร์ และคณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทรงจัดหลักสูตรสำหรับวิชาประวัติศาสตร์ด้วยพระองค์เอง โดยทูลเชิญและเชิญผู้ที่มีความรู้เฉพาะทางมาปาฐกถา เช่น สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงบรรยายประวัติศาสตร์ไทย และพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัติทรงบรรยายอิทธิพลของวัฒนธรรมอินเดียต่อวัฒนธรรมไทย เป็นต้น
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มหาวิทยาลัยในประเทศไทยจึงเปิดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์เป็นวิชาเอกในระดับปริญญาตรีและปริญญาโท โดยก่อน พ.ศ. 2516 มีสถาบันอุดมศึกษาเพียง 2 แห่งที่เปิดสอนวิชาประวัติศาสตร์ในระดับปริญญาโท คือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และวิทยาลัยวิชาการศึกษาประสานมิตร (มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒในปัจจุบัน)
ปัจจุบันสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาของรัฐที่ทำการสอนวิชาประวัติศาสตร์ ได้แก่
- ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
- วิชาโทประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
- ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
- ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
- สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพ
- สาขาวิชาประวัติศาสตร์ ภาควิชาจิตวิทยา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์
- ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
- ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
- ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
- ภาควิชาประวัติศาสตร์และศิลปะ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
- สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
- ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
- สาขาวิชาประวัติศาสตร์ ภาควิชาสังคมศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ
อย่างไรก็ดี การศึกษาประวัติศาสตร์ในประเทศไทยปัจจุบันได้รับผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงของโลกสมัยหลังสงครามเย็นที่ให้ความสำคัญกับความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีอย่างมาก สังคมไทยจึงให้ความสนใจกับการเติบโตทางวัตถุเหนือสิ่งอื่นใด การศึกษาประวัติศาสตร์จึงไม่ได้รับความนิยมมากเหมือนช่วง พ.ศ. 2516-2535
อนึ่ง นอกจากมหาวิทยาลัยของรัฐที่จัดให้มีการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ทั้งในระดับปริญญาตรีและปริญญาโทแล้ว ยังมีหน่วยงานเอกชนที่สนับสนุนการศึกษาด้านนี้ด้วย แต่การดำเนินงานไม่เป็นที่กว้างขวางและแพร่หลายนักในสังคม เช่น
[แก้] บทความและหนังสืออ่านเพิ่มเติม
- คาร์, อี. เอช. (2525). ประวัติศาสตร์คืออะไร. แปลโดย ชาติชาย พณานานนท์. กรุงเทพฯ: อักษรเจริญทัศน์
- แดเนียลส์, โรเบอร์ต วี. (2520). ศึกษาประวัติศาสตร์อย่างไร และทำไม. แปลโดย ธิดา สาระยา. กรุงเทพฯ: ดวงกมล.
- นิธิ เอียวศรีวงศ์. (2523). ประวัติศาสตร์รัตนโกสินทร์ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา. กรุงเทพฯ: บรรณกิจ. (เอกสารวิชาการหมายเลข 14 สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)
- นิธิ เอียวศรีวงศ์. (2551). ประวัติศาสตร์แห่งชาติ "ซ่อม"ฉบับเก่า "สร้าง"ฉบับใหม่. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: กองทุนเผนแพร่ความรู้สู่สาธาธารณะ.
- พวงร้อย กล่อมเอี้ยง. (2546). จะเขียนประวัติศาสตร์ท้องถิ่นอย่างไร. ศึกษาศาสตร์ องครักษ์. 2: 94-102.
- พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม 1. (2542). พิมพ์ครั้งที่ 9. กรุงเทพฯ: กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร.
- วงเดือน นาราสัจจ์. (2550). ประวัติศาสตร์ : วิธีการและพัฒนาการ. กรุงเทพฯ: ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
- ยงยุทธ ชูแว่น. (2545, มิถุนายน-พฤศจิกายน). ความสำคัญและขอบเขตของประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในปัจจุบัน. วารสารอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร. 25 (1) : 102-114.
- วุฒิชัย มูลศิลป์. (2545). เมื่อประวัติศาสตร์เป็นเหตุแห่งความขัดแย้งระหว่างชาติในเอเชีย. ใน วารสารประวัติศาสตร์. หน้า 2-19. กรุงเทพฯ: ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
- สาคร ช่วยประสิทธิ์. (2522). ความสำคัญของคริสต์ศตวรรษที่ 15. กรุงเทพฯ: ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร.
- สุเนตร ชุตินธรานนท์. (2552). ชาตินิยมในแบบเรียนไทย. กรุงเทพฯ: มติชน.
- อาร์โนลด์, จอห์น เอช. (2549). ประวัติศาสตร์ของประวัติศาสตร์. แปลโดย ไชยันต์ รัชชกูล. กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน).
- Collingwood, R. G. (1982). The Idea of History. 21st ed. London: Oxford University Press.
[แก้] แหล่งข้อมูลอื่น ๆ (เว็บไซต์ภาษาอังกฤษ)
- History Channel (อังกฤษ)
- Fordham (อังกฤษ)
- World Wide Web Virtual Library (อังกฤษ)
- BBC (อังกฤษ)
[แก้] ดูรายละเอียดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
คุณสามารถหาข้อมูลภาษาอังกฤษเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ ได้โดยค้นหาจากโครงการพี่น้องของวิกิพีเดีย: | |
---|---|
หาความหมาย จากวิกิพจนานุกรม | |
หนังสือ จากวิกิตำรา | |
คำคม จากวิกิคำคม | |
ข้อมูลต้นฉบับ จากวิกิซอร์ซ | |
ภาพและสื่อ จากคอมมอนส์ | |
เนื้อหาข่าว จากวิกิข่าว | |
แหล่งเรียนรู้ จากวิกิวิทยาลัย |
ประวัติศาสตร์ | |||||||||||||||||||||||||||
|
|