ฌาคส์ ชีรัค

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

(เปลี่ยนทางมาจาก ชาก ชีรัก)
ฌาคส์ ชีรัค
Jacques Chirac
ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสคนที่ 22
Jacques Chirac1.jpg

ดำรงตำแหน่งในปัจจุบัน
วาระการดำรงตำแหน่ง
17 พฤษภาคม 2538 - 16 พฤษภาคม 2545
ตั้งแต่ 17 พฤษภาคม 2538
17 พฤษภาคม 2545 - 16 พฤษภาคม 2550
{{{début mandat3}}} - {{{fin mandat3}}}
{{{début mandat4}}} - {{{fin mandat4}}}
รับเลือกตั้ง 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2538
รับเลือกตั้งอีกครั้ง 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2545
พรรคการเมือง UNR (2511)
UDR (2514)
RPR (2519)
UMP (2545)
สาธารณรัฐ สาธารณรัฐที่ 5
รัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2501
นายกรัฐมนตรี อแลง ฌุปเป
ลียอแนล ฌอสแปง
ฌอง-ปีแยร์ ราฟฟาแรง
โดมินิก เดอ วิลล์แปง
สมัยก่อนหน้า ฟรองซัวส์ มิตแตร์รองด์
สมัยถัดไป นิโกลาส์ ซาร์โกซี
รับเลือกตั้ง {{{élection2}}}
รับเลือกตั้ง {{{élection3}}}
รับเลือกตั้ง {{{élection4}}}

ตำแหน่งอื่น
นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส
วาระการดำรงตำแหน่ง
27 พฤษภาคม พ.ศ. 2517 - 26 สิงหาคม พ.ศ. 2519
ประธานาธิบดี วาเลรี ชิสการ์ เดสแตง
ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐ {{{président de la république1}}}
ประมุขแห่งรัฐ {{{chef de l'etat1}}}
กษัตริย์ {{{monarque1}}}
ผู้สำเร็จราชการ {{{gouverneur1}}}
นายกรัฐมนตรี {{{premier ministre1}}}
คณะรัฐมนตรี ครม. ชีรัค 1
สมัยก่อนหน้า ปีแยร์ แมสแมร์
สมัยถัดไป เรมงด์ บาร์

{{{fonction2}}}
วาระการดำรงตำแหน่ง
20 มีนาคม พ.ศ. 2529 - 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2531
ประธานาธิบดี ฟรองซัวส์ มิตแตร์รองด์
ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐ {{{président de la république2}}}
ประมุขแห่งรัฐ {{{chef de l'etat2}}}
กษัตริย์ {{{monarque2}}}
ผู้สำเร็จราชการ {{{gouverneur2}}}
นายกรัฐมนตรี {{{premier ministre2}}}
คณะรัฐมนตรี ครม. ชีรัค 2
สมัยก่อนหน้า โลรองต์ ฟาบียุส
สมัยถัดไป มิแชล โรการ์

นายกเทศมนตรีปารีส
วาระการดำรงตำแหน่ง
20 มีนาคม พ.ศ. 2520 - 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2538
ประธานาธิบดี {{{président3}}}
ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐ {{{président de la république3}}}
ประมุขแห่งรัฐ {{{chef de l'etat3}}}
กษัตริย์ {{{monarque3}}}
ผู้สำเร็จราชการ {{{gouverneur3}}}
นายกรัฐมนตรี {{{premier ministre3}}}
คณะรัฐมนตรี {{{gouvernement3}}}
สมัยก่อนหน้า ตำแหน่งถูกยกเลิก
(2414 - 2520)
ฌูลส์ แฟร์รี (ทางอ้อม)
สมัยถัดไป ฌอง ตีเบอรี

{{{fonction4}}}
วาระการดำรงตำแหน่ง
{{{début fonction4}}} - {{{fin fonction4}}}
ประธานาธิบดี {{{président4}}}
ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐ {{{président de la république4}}}
ประมุขแห่งรัฐ {{{chef de l'etat4}}}
กษัตริย์ {{{monarque4}}}
ผู้สำเร็จราชการ {{{gouverneur4}}}
นายกรัฐมนตรี {{{premier ministre4}}}
คณะรัฐมนตรี {{{gouvernement4}}}

{{{fonction5}}}
วาระการดำรงตำแหน่ง
{{{début fonction5}}} - {{{fin fonction5}}}
ประธานาธิบดี {{{président5}}}
ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐ {{{président de la république5}}}
ประมุขแห่งรัฐ {{{chef de l'etat5}}}
กษัตริย์ {{{monarque5}}}
ผู้สำเร็จราชการ {{{gouverneur5}}}
นายกรัฐมนตรี {{{premier ministre5}}}
คณะรัฐมนตรี {{{gouvernement5}}}

{{{fonction6}}}
วาระการดำรงตำแหน่ง
{{{début fonction6}}} - {{{fin fonction6}}}
ประธานาธิบดี {{{président6}}}
ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐ {{{président de la république6}}}
ประมุขแห่งรัฐ {{{chef de l'etat6}}}
กษัตริย์ {{{monarque6}}}
ผู้สำเร็จราชการ {{{gouverneur6}}}
นายกรัฐมนตรี {{{premier ministre6}}}
คณะรัฐมนตรี {{{gouvernement6}}}

{{{fonction7}}}
วาระการดำรงตำแหน่ง
{{{début fonction7}}} - {{{fin fonction7}}}
ประธานาธิบดี {{{président7}}}
ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐ {{{président de la république7}}}
ประมุขแห่งรัฐ {{{chef de l'etat7}}}
กษัตริย์ {{{monarque7}}}
ผู้สำเร็จราชการ {{{gouverneur7}}}
นายกรัฐมนตรี {{{premier ministre7}}}
คณะรัฐมนตรี {{{gouvernement7}}}

ประวัติ
ชื่อเดิม {{{nom naissance}}}
วันเกิด 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2475 (อายุ 77 ปี)
Flag of ฝรั่งเศส ปารีส ประเทศฝรั่งเศส
ถึงแก่อสัญกรรม {{{décès}}}
{{{lieu décès}}}
สาเหตุ {{{nature}}}
เชื้อชาติ {{{nationalité}}}
คู่สมรส แบร์นาแดตต์ ชีรัค
บุตร-ธิดา {{{enfants}}}
สำเร็จการศึกษา École nationale d'administration
อาชีพ {{{profession}}}
อาชีพ {{{occupation}}}
สถานที่อาศัย {{{résidence}}}
ศาสนา {{{religion}}}
ลายเซ็น {{{signature}}}

Armoiries république française.svg
นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส
ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส

ฌาคส์ เรอเน ชีรัค (ฝรั่งเศส: Jacques René Chirac; 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2475 — ) รัฐบุรุษฝรั่งเศส อดีตประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและนายกเทศมนตรีปารีส

เนื้อหา

[แก้] ประวัติ

[แก้] ช่วงแรกของชีวิต (พ.ศ. 2475 - พ.ศ. 2510)

ฌาคส์ ชีรัค เกิดเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2475 (ค.ศ. 1932) ที่คลินิกโชฟรัวแซงตีแยร์ (ในเขตห้าของกรุงปารีส) ฌาคส์ ชีรัค เป็นบุตรชายของนายอาแบล-ฟรองซัวส์ ชีรัค พนักงานธุรการบริษัท (ชาตะ พ.ศ. 2436 มรณะ พ.ศ. 2511) กับนางมารี-หลุยส์ วาแลต (ชาตะ พ.ศ. 2445 มรณะ พ.ศ. 2516) ภรรยาซึ่งเป็นแม่บ้าน ทั้งคู่มาจากครอบครัวเกษตรกร แม้ว่าปู่และตาของเขาจะเป็นอาจารย์ที่ตำบลแซงต์-เฟเรออล จังหวัดกอแรซ ชีรัคบอกว่านามสกุลของเขา "มาจากภาษาลองเกอด็อกของกลุ่มตรูบาดูร์ กวีสมัยยุคกลางในราชสำนักแถบนั้น"

ฌาคส์ ชีรัคในวัยเด็กเป็นบุตรชายคนเดียว (พี่สาวของเขาเสียชีวิตตั้งแต่เล็กก่อนที่เขาจะเกิด) ได้เข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนมัธยมการ์โน จากนั้นก็ได้ย้ายมาที่โรงเรียนมัธยมศึกษาหลุยส์-เลอ-กร็อง หลังจากสอบผ่านข้อสอบมาตรฐานระดับเตรียมอุดมศึกษาแห่งชาติได้ เขาก็ได้สมัครเป็นลูกเรือ และได้ร่วมออกเดินทางกับเรือบรรทุกถ่านหินเป็นเวลาสามเดือน ในปี พ.ศ. 2494 เขาได้เข้าศึกษาต่อในสถาบันการเมืองศึกษาแห่งกรุงปารีส และจบการศึกษาในปี พ.ศ. 2497

หลังจากที่ได้เข้าเรียนภาคฤดูร้อนที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ในปี พ.ศ. 2496 ตลอดช่วงเวลานี้ เขาได้เข้าร่วมมีบทบาทในพรรคคอมมิวนิสต์ฝรั่งเศส และได้ทำงานร่วมกับ กริสตียง บูร์ชัว ผู้ซึ่งต่อมาเป็นบรรณาธิการชื่อดัง จากคำบอกเล่าของชีรัค เขาเคยขายหนังสือพิมพ์ลูมานีเต (หนังสือพิมพ์ของค่ายสังคมนิยม) ที่ถนนเดอโวชีราร์ และได้เข้าร่วมการประชุมกลุ่มคอมมิวนิสต์หนึ่งครั้ง (จากรายการทางสถานีโทรทัศน์ ฟรองซ์ตรัว เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2536) ต่อมาในปี พ.ศ. 2493 เขาได้ลงนามในอนุสัญญาสตอกโฮล์มเพื่อต่อต้านอาวุธนิวเคลียร์ อันได้รับแรงบันดาลใจจากลัทธิคอมมิวนิสต์ (ซึ่งทำให้เขาต้องถูกซักถามอย่างละเอียดในการขอวีซ่าเข้าสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรก)

ชีรัคฉลองงานหมั้นกับนางสาวแบร์นาแดต โชดรง เดอ กูร์แซล ที่อาคารพักอาศัยเดโชดร็อง ซึ่งตั้งอยู่บนบูเลอวาร์ด ราสไป เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2496

ในฤดูใบไม้ร่วง ปี พ.ศ. 2497 เขาได้รับการตอบรับให้เข้าศึกษาต่อในโรงเรียนการราชการแห่งชาติ ต่อมาเขาเรียนได้ที่หนึ่งที่โรงเรียนนายร้อยแห่งจังหวัดโซมูร์ แต่เขาถูกปฏิเสธให้เข้ารับราชการเนื่องจากเคยมีประวัติเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ จึงต้องอาศัยเส้นสายจากทางครอบครัวของนางสาวแบร์นาแดต (นายพลโคเอนิค) เพื่อให้ได้รับราชการทหาร ชีรัคได้ติดยศร้อยตรีเมื่อจบการศึกษา

เมื่อวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2499 เขาได้เข้าพิธีสมรสกับนางสาวแบร์นาแดต แม้ว่าทางครอบครัวของฝ่ายสาวจะไม่เห็นด้วยเนื่องจากชีรัคมาจากครอบครัวชาวนา บิดามารดาของแบร์นาแดตปฏิเสธที่จะจัดงานมงคลสมรสที่วิหารน้อยแซงต์-กอลตีลด์ ที่สงวนไว้เฉพาะครอบครัวจากวงสังคมชั้นสูงในย่านแซงแชร์แมง พิธีสมรสจัดขึ้นที่ชาเปล ลาส คาสเซส ซึ่งเป็นส่วนขยายของโบสถ์ที่สงวนไว้สำหรับการสอนศาสนา และจัดงานพิธีแบบรวดเร็ว ชีรัคมีบุตรสาวกับแบร์นาแดตสองคน ชื่อโลรองซ์ (เกิดปี พ.ศ. 2501) และโกลด

ชีรัคเปลี่ยนสถานะทางสังคมโดยสิ้นเชิงจากการสมรส ระหว่างปี พ.ศ. 2499 - พ.ศ. 2500 หลังจากแต่งงานไม่นาน เขาก็โดนหมายเรียกให้เข้าประจำการในกองทัพ เนื่องด้วยว่าเป็นบัณฑิตจบใหม่ อนาคตไกล เขามีสิทธิ์หลีกเลี่ยงการไปออกรบในสงครามแอลจีเรีย (ที่ดำเนินติดต่อกันเป็นระยะเวลา 18 เดือน) แต่เขาก็ไปร่วมรบด้วยความสมัครใจ โดยได้รับตำแหน่งในกองร้อยที่สองของแอฟริกา (ประจำการอยู่ที่ ซูก-เอล-บาบาร์) เขาพ้นประจำการเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2500 (ค.ศ. 1957) ชีรัคอธิบายว่าเขาเพิ่งจะกลายเป็นพวกนิยมโกลเมื่อปี ค.ศ. 1958นี้เอง แม้ว่าเขาจะได้เข้าร่วมพรรคแนวร่วมแอร์เปเอฟของนายพลชาร์ลส์ เดอ โกลล์ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2490 (ค.ศ. 1947) "โดยไม่ทราบว่าตัวเองทำอะไรลงไป" ระหว่างวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2502 (ค.ศ. 1959) และเมษายน พ.ศ. 2503 (ค.ศ. 1960) เขาก็ได้รับราชการใน"กองหนุนส่วนงานธุรการ" โดยทำงานให้กับนายฌาคส์ เปลิสซีเย ผู้อำนวยการทั่วไป กองเกษตรกรรมในแอลจีเรีย

เมื่อกลับสู่กรุงปารีส ชีรัคได้รับการแต่งตั้งให้เป็นข้าราชการประจำสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน และเป็นอาจารย์ประจำสถาบันการเมืองศึกษาแห่งชาติ ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2505 (ค.ศ. 1962) เขาเป็นผู้รับผิดชอบโครงการเกี่ยวกับการโยธาธิการและการขนส่ง ในสำนักงานเลขานุการของนายกรัฐมนตรีจอร์จ ปอมปิดู และประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

อีกหนึ่งปีต่อมา เขาได้รับตำแหน่งที่ผู้ตรวจเงินแผ่นดินประจำสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ในปี พ.ศ. 2508 (ค.ศ. 1965) เขาได้รับเลือกตั้งเป็นที่ปรึกษาประจำตำบลแซงต์-เฟเรออล ในจังหวัดกอแรซ ภูมิลำเนาเดิมของตระกูลชีรัค โดยที่เขาไม่ได้เรียกร้องแต่อย่างใด อีกหนึ่งปีต่อมา จอร์จ ปอมปิดูส่งเขาลงสมัครส.ส.ในเขตอูซเซล จังหวัดกอแรซ เพื่อแย่งพื้นที่มาจากคู่แข่ง ด้วยการสนับสนุนของนายมาร์เซล ดาซโซลต์ และหนังสือพิมพ์ของเขา ประกอบด้วยการรณรงค์หาเสียงอย่างไม่หยุดหย่อน ชีรัคเอาชนะคู่แข่งจากพรรคคอมมิวนิสต์ได้อย่างเฉียดฉิวในพื้นที่ซึ่งเป็นฐานเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์เอง

[แก้] ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี (พ.ศ. 2510 - พ.ศ. 2519)

ในอีกไม่ถึงหนึ่งเดือนต่อมา เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2510 (ค.ศ. 1967) ชีรัคที่ได้รับฉายาจากจอร์จ ปอมปิดู ว่า "รถตักดินของกระผม" ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ในรัฐบาลจอร์จ ปอมปิดูสาม (และยังคงดำรงตำแหน่งนั้นในอีกหลายรัฐบาลต่อมา ไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีโมรีซ กูซเวอ เดอ มูร์วิลล์ ฌาคส์ ชาบอง-เดลมา และ ปีแยร์ เมสแมร์ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) ผลงานในยุคแรกๆที่มาจากแนวคิดริเริ่มของชีรัคได้แก่ สำนักงานแรงงานแห่งชาติ ตลอดเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2511 (ค.ศ. 1968) เขาได้มีบทบาทสำคัญในข้อตกลงแห่งเกรอเนล และได้กลายเป็นตัวอย่างของคนหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรง ที่ถูกนำไปล้อเลียนในหนังสือการ์ตูนอัสเตริกซ์ ทันทีที่พ้นเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2511 (ค.ศ. 1968) ชีรัคได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเศรษฐกิจและการเงิน โดยมีนายวาเลรี ยิสการ์ด เดส์แตงในวัยหนุ่มรั้งตำแหน่งรัฐมนตรี ทั้งคู่ทำงานร่วมกันด้วยความกินแหนงแคลงใจ ชีรัคไม่เห็นด้วยในการลดค่าเงินฟรังก์เมื่อปี พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969)

ในปี พ.ศ. 2514 (ค.ศ. 1971) ชีรัคได้กลายเป็นรัฐมนตรีกิจการพิเศษ ดูแลความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับรัฐสภา จากนั้น เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) เขาได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบท ภายใต้รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีปีแยร์ เมสแมร์ ซึ่งประชาชนจำเขาได้เนื่องจากเขาได้รับเสียงสนับสนุนอย่างท่วมท้น โดยเฉพาะจากเกษตรกร ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) ด้วยการสนับสนุนของประธานาธิบดี เขาได้เป็นผู้ทบทวนการตัดสินใจของประธานาธิบดีวาเลรี ยิสการ์ด เดส์แตง ที่อยู่ในระหว่างการเดินทาง

ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) อาจจะจากเรื่องอื้อฉาวการดักฟังโทรศัพท์ของหนังสือพิมพ์ เลอ กานาร์ อองเชนเน เขาได้ "แลก" ตำแหน่งกับเรมงด์ มาร์เซลอง ที่ในขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และภายหลังการเสียชีวิตของประธานาธิบดีจอร์จ ปอมปิดูเพียงเล็กน้อย เขาได้เลือกที่จะสนับสนุนนายปีแยร์ เมสแมร์เป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนต่อไปอยู่ช่วงหนึ่ง จากนั้นก็หันไปสนับสนุนนายวาเลรี ยิสการ์ด เดส์แตง เพื่อต่อสู้กับนายฌาคส์ ชาบอง-เดลมา ผู้สมัครจากลัทธินิยมโกล เขาได้วิ่งเต้นต่อสู้กับผู้แทนราษฎร 43 คนที่สนับสนุนชาบอง-เดลมา และมีส่วนอย่างยิ่งต่อชัยชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีของวาเลรี ยิสการ์ด เดส์แตง ชีรัคยังอาศัยความได้เปรียบในพื้นที่ และการรู้จักผู้ได้รับการเลือกตั้งท้องถิ่น ช่วยให้เขาได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรอีกอย่างน้อยสองปี และโดยเฉพาะอย่างยิ่งตำแหน่งในกระทรวงสำคัญๆ ที่ทำให้เขามีอำนาจเหนือศูนย์การปกครองส่วนจังหวัด สำนักงานการศึกษาแห่งชาติ และอื่นๆ

เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) ประธานาธิบดีวาเลอรี ยิสการ์ด เดส์แตงได้แต่งตั้งให้ชีรัคเป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องด้วยชีรัคเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการเลือกตั้งประธานาธิบดีของเขา เขายังรักษาเสียงสนับสนุนจากพรรคอูเดเอฟไว้ได้ (ซึ่งในขณะนั้นมีรัฐมนตรีเพียงห้าคน) และได้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรค แม้จะไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคมาก่อนก็ตาม ที่ทำเนียบมาตีญง ชีรัคได้จัดตั้งทำเนียบรัฐบาลที่มีรูปแบบสบาย ๆ เป็นกันเอง แต่ก็เริ่มการงัดข้อกับประธานาธิบดีด้วยเช่นกัน แม้ว่าทั้งสองต่างก็ต้องการปกครองประเทศ แต่ก็มีบุคลิกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทั้งคู่กลายเป็นคู่แข่งกันมาตั้งแต่เหตุดึงเครียดระหว่างการดำรงตำแหน่งในกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 11 มกราคม ค.ศ. 1976 ประธานาธิบดีวาเลรี ยิสการ์ด เดส์แตงได้สั่งการปรับคณะรัฐมนตรีโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรี ผู้ซึ่งปฏิเสธอำนาจการบริหารของเขา และเรียกร้องการดำเนินการทางการเมืองแบบใหม่ทั้งหมด ภายหลังการพบปะที่ป้อมเดอเบรกองซง ฌาคส์ ชีรัคได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้ประกาศอย่างเป็นทางการเมืองวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2519 (ค.ศ. 1976) เขาได้ประกาศผ่านทางโทรทัศน์ว่า "กระผมไม่มีหนทางที่กระผมคิดว่าจำเป็นต่อการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างมีประสิทธิภาพอีกต่อไป" ฌาคส์ ชีรัค ยังยืนยันกับวาเลอรี ยิสการ์ด เดส์แตงอีกด้วยว่า "เขาต้องการล้างมือจากชีวิตในแวดวงการเมือง [...] และจะทบทวนเกี่ยวกับชีวิตเสียใหม่ และเขายังได้เอ่ยถึงการตั้งหอศิลป์อีกด้วย"

[แก้] ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงปารีส ก้าวสู่ทำเนียบเอลีเซ (พ.ศ. 2519 - พ.ศ. 2538)

หลังจากที่ชีรัคได้ประกาศตนเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงปารีส (เขาเป็นผู้ที่คัดค้านการเปลี่ยนสถานะของกรุงปารีสมาตั้งแต่แรกเริ่ม) ชีรัคก็ได้จัดตั้งพรรคแอร์เปแอร์ขึ้น พรรคลัทธินิยมโกลนี้ ได้เอาฐานเสียงเดิมจากพรรคอูเดแอร์ ซึ่งมีฌาคส์ ชีรัคดำรงตำแหน่งประธานพรรค เมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2520 (ค.ศ. 1977) แม้ว่าจะถูกคัดค้านจากเรมง บาร์ ผู้ซึ่งสนับสนุนมิเชล ดอร์นาโน ฌาคส์ ชีรัคได้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงปารีสคนแรก โดยเป็นตำแหน่งใหม่ที่เพิ่งจัดตั้งขึ้น หลังจากที่ถูกยกเลิกไปตั้งแต่สมัยของของชูล เฟอรี ซึ่งนับเป็นตำแหน่งสำคัญ เนื่องจากมีเงินงบประมาณถึงหนึ่งหมื่นห้าพันล้านฟรังก์ ข้าราชการอีกสี่หมื่นตำแหน่ง จึงนับว่าเป็นก้าวกระโดดทางการเมืองอันสำคัญของชีรัค

เพื่อเตรียมการเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) ฌาคส์ ชีรัค ได้ทำให้พรรคแอร์เปแอร์กลายเป็นเครื่องจักรกลทางการเมืองที่มีกำลังแรง ด้วยการเป็นพรรคที่มีเสียงข้างมากตลอด รวมจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งสิ้น 150 ที่นั่ง ซึ่งมากกว่าจำนวนส.ส.ของพรรคอูเดเอฟ (พรรคที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2521 เพื่อสนับสนุนกิจกรรมทางการเมืองของประธานาธิบดี) ซึ่งแม้กระนั้น สถานการณ์ในพรรครัฐบาลของชีรัคก็เข้าขั้นวิกฤติ เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2521 (ค.ศ. 1978) ฌาคส์ ชีรัค ได้ประสบอุบัติเหตุบนถนนในจังหวัดกอร์เรซ และได้ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลโกชัง ในกรุงปารีส ซึ่งที่นั่น เขาได้ประกาศ "แถลงการณ์เรียกร้องแห่งโกชัง" เพื่อแฉพรรค "การเมืองของชาวต่างชาติ" ซึ่งเขาหมายถึงพรรคอูเดเอฟนั่นเอง ในปี พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) ชีรัคพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภายุโรป บัญชีรายชื่อผู้สมัครของเขาได้รับคะแนนเสียงเพียง 16.3% ตามหลังพรรคอูเดเอฟ ที่มีนายซีโมน เวย อยู่อันดับแรกในบัญชีรายชื่อ อยู่มาก (27.6%)

ระหว่างการเลือกตั้งประธานาธิบดีหลายครั้ง ชีรัคได้ชูประเด็นเกี่ยวกับการลดภาษีมาใช้ในการหาเสียง โดยเขาได้นำแนวความคิดนี้มาจากประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ของสหรัฐ และได้รับคะแนนเสียง 18% จากการเลือกตั้งรอบแรก ซึ่งทำให้เขาถูกนายวาเลรี ชีสการ์ด เดสแตง ทิ้งห่างเป็นอย่างมาก (28%) อีกทั้งยังมีคะแนนตามหลังนายฟรองซัวส์ มิตแตร์รองด์ (26%) ผู้ซึ่งมีชัยในการเลือกตั้งรอบที่สอง สาเหตุอาจเนื่องมาจากเขาได้ประกาศว่า "โดยส่วนตัวแล้ว" เขาได้ลงคะแนนให้กับฟรองซัวส์ มิตแตร์รองด์ หัวหน้าพรรคอูเดเอฟ จึงทำให้ผู้ที่สนับสนุนเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนหนุ่มสาว ยึดเอาคำพูดนี้มาขบคิด และลงคะแนนให้กับคู่แข่งในที่สุด

พรรคแอร์เปแอร์อ่อนแอลงหลังพ่ายการเลือกตั้งประธานาธิบดี และได้ที่นั่งเพียง 83 ที่นั่งในรัฐสภา จากการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ แต่อย่างไรก็ดี ฌาคส์ ชีรัค ได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากจากผู้มีสิทธิ์ออกเสียงที่นิยมพรรคฝ่ายขวา (อนุรักษ์นิยม) จากการดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงปารีส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากผลงานที่เขาได้พัฒนานโยบายเกี่ยวกับระบบขนส่งมวลชน การช่วยเหลือผู้สูงอายุ คนพิการ และมารดาที่เลี้ยงบุตรตามลำพัง โดยใช้มาตรการกระตุ้นให้บริษัทตั้งสำนักงานอยู่ในเมือง แต่ก็จัดการสลายตัวย่านที่ผู้คนอาศัยหนาแน่น ในปี ค.ศ. 1983 เขาได้รับเลือกตั้งอีกครั้ง และครองตำแหน่ง "แกรนด์สแลม" ด้วยการได้รับเลือกตั้งจากทั้งหมด 20 เขตของกรุงปารีส ชีรัคกลายเป็นผู้นำพรรคฝ่ายค้านนับแต่นั้น ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) ระหว่างการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในระบบสัดส่วน จำนวนที่นั่งในรัฐสภาระหว่างพรรคแอร์เปแอร์ กับอูเดเอฟ รวมกันได้เสียงข้างมากพอดี จึงตามมาด้วยปรากฏการณ์ที่นายเรมง บาร์ เรียกว่า "การจัดตั้งรัฐบาลผสม" ฌาคส์ ชีรัค ในฐานะหัวหน้าของพรรคร่วมรัฐบาลเสียงข้างมาก ได้กลายเป็นนายกรัฐมนตรีในที่สุด

การจัดตั้งรัฐบาลผสมเปิดโอกาสให้เกิดการงัดข้อทางอำนาจระหว่างนายกรัฐมนตรีกับประธานาธิบดี ฟรองซัวส์ มิตแตร์รองด์ ที่ตำหนิติเตียนการดำเนินการของนายกรัฐมนตรีอย่างเปิดเผย เขาใช้อำนาจประธานาธิบดีอย่างเต็มที่ ด้วยการไม่ยอมลงนามในกฎหมาย ทำให้ชีรัคต้องหันมาพึ่งมาตราที่ 49 ทวิ 3 (รัฐธรรมนูญของสาธารณรัฐที่ 5 ของฝรั่งเศส) ยุทธวิธีของประธานาธิบดีทำให้สาธารณชนเหนื่อยหน่ายต่อวิธีการและนโยบายปฏิรูปของรัฐบาล ทำให้นายกรัฐมนตรีต้องแก้ไขปัญหาเอาเองหลายต่อหลายครั้ง และต้องยอมล้มเลิกแผนการหลายอย่าง ชีรัคยับยั้งอัตราการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้นสำเร็จ แต่ก็ไม่สามารถจัดการกับปัญหานี้ได้อย่างเด็ดขาด เขาต้องชดใช้การที่กลุ่มคนหนุ่มสาวไม่ไว้วางใจเขาด้วยเช่นกัน ส่งผลให้นายอลัง เดวาเก รัฐมนตรีของเขาถูกโจมตีในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2529 และภาพลักษณ์ของนายชาลส์ ปาสควา รัฐมนตรีอีกคนต้องเสียหายด้วยการได้รับคะแนนนิยมจากพรรคฝ่ายขวา แต่ถูกเกลียดชังโดยพรรคฝ่ายซ้าย ชาลส์ ปาสควา เป็นผู้ไปเจรจาลับให้ปล่อยตัวประกันในกรณีจับตัวประกันชาวฝรั่งเศสในเลบานอน แต่จากการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ กลับระบุว่าไม่มีการจ่ายเงินเรียกค่าไถ่แต่อย่างใด จากนั้นนายกรัฐมนตรีชีรัค ก็ถูกกล่าวหาว่าได้ขายเทคโนโลยีนิวเคลียร์ของฝรั่งเศส ให้กับอิหร่าน และต้องการสร้างกระแสในหมู่สาธารณชน

ในการเผชิญหน้ากับคะแนนนิยมของนายฟรองซัวส์ มิตแตร์รองด์ ที่สูงขึ้นเป็นอย่างมาก ในการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน ฌาคส์ ชีรัค ได้ออกเดินสายหาเสียงทั่วประเทศฝรั่งเศส เพื่ออธิบายแนวนโยบายของเขา ในการเลือกตั้งทั่วไปรอบแรก เขาได้คะแนนเสียงเพียง 19.9% โดยมีนายเรมงด์ บาร์ จี้มาติด ๆ ด้วยคะแนน 16.5% ซึ่งก็ยังห่างไกลจาก มิตแตร์รองด์ ที่ได้ 34.1% ชีรัคเผชิญหน้ากับอดีตประธานาธิบดีมิตแตร์รองด์ ที่เพิ่งพ้นจากวาระ ในการโต้วาทีที่เผ็ดร้อนทางโทรทัศน์ ซึ่งมิตแตร์รองด์ยืนยันอย่างแจ่มชัดว่า ไม่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับการเจรจาวิ่งเต้นปล่อยตัวประกันในเลบานอนเลย ชีรัคพ่ายในการเลือกตั้งรอบที่ 2 โดยได้คะแนนเสียงเพียง 45.98%

ผู้สนับสนุนชีรัคต่างเสียกำลังใจ และภรรยาของเขาถึงกลับออกมายืนยันว่า "ชาวฝรั่งเศสไม่ชอบสามีของดิฉัน" ชีรัคเป็นฝ่ายค้านอีกครั้ง และยังคงดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงปารีส ในปี พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) เขาได้รับเลือกเข้ามาใหม่ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น และทำงานหนักเพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำพรรคฝ่ายค้าน ในปี พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) เขาประกาศว่า "ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับแผนการของนายฌาคส์ เดลอร์ ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ที่พยายามผลักดันให้มีสกุลเงินยูโร"

ในการรับมือกับรัฐบาลฝ่ายซ้ายอย่างยากลำบาก ชีรัคได้เข้าร่วมการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993) ซึ่งผลปรากฏว่า มาคราวนี้พรรคการเมืองฝ่ายขวาได้รับชนะอย่างถล่มทลาย แต่เนื่องจากบทเรียนที่เขาได้รับในการเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งก่อน ชีรัคจึงสละสิทธิ์ให้เอดูอาร์ บัลลาดูร์ เป็นนายกรัฐมนตรี ในการจัดตั้งรัฐบาลร่วมเป็นหนที่สอง ข้อตกลงส่วนตัวของบุคคลทั้งสองนั้นเรียบง่ายมาก เอดูอาร์ บัลลาดูร์คุมทำเนียบมาตีญง แล้วหนุนให้ชีรัคครองทำเนียบเอลีเซ ในปี พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995)

อย่างไรก็ดี เอดูอาร์ บัลลาดูร์ ได้ตัดสินใจเข้าสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีด้วย เนื่องจากเขาได้รับความนิยมอย่างสูง ผู้แวดล้อมประธานพรรคแอร์เปแอร์ถึงกับประณามเขาว่าเป็นคนทรยศ เนื่องจากในฐานะนายกรัฐมนตรีแล้ว เขายังมี นายนีโกลา ซาร์โกซี และนายชาร์ลส์ ปาสควา สมาชิกพรรคอีกสองคนหนุนหลังอยู่ด้วย ทางด้านของนายฟีลิปป์ เซกัง หลังจากที่ลังเลอยู่ระยะหนึ่ง ก็ได้ตัดสินใจสนับสนุนผู้สมัคร "โดยชอบธรรม" และได้ร่วมกับนายอลัง ชูเป และนายอลัง มาเดอลัง เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสนับสนุนชีรัคเป็นประธานาธิบดี ซึ่งชีรัคก็ได้ออกหาเสียงอย่างกระตือรือร้น และชูประเด็นว่าด้วยเรื่อง "ความแตกร้าวทางสังคม" ชีรัคเอาชนะเอดูอาร์ บัลลาดูร์ ในการเลือกตั้งรอบแรกไปได้ และมาเอาชนะนายลีโอเนล โฌส์แปง ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคสังคมนิยมฝรั่งเศส ได้ในการเลือกตั้งรอบที่สอง ด้วยคะแนนเสียง 52.64% เขาจึงได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีฝรั่งเศสนับแต่นั้นเป็นต้นมา

[แก้] ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสสมัยแรก (พ.ศ. 2538 - พ.ศ. 2545)

ในการเข้ามาประจำที่ทำเนียบเอลีเซเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ประธานาธิบดีชีรัค ได้แต่งตั้งนายอาแลง ชูเป เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งชูเปก็ได้ให้ความสำคัญต่อการต่อสู้กับปัญหาการขาดดุลภาครัฐ ในอันที่จะรักษาข้อตกลงเพื่อเสถียรภาพ ของสหภาพยุโรป และเพื่อเตรียมพร้อมการประกาศใช้สกุลเงินยูโร

ฌาคส์ ชีรัค กับจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2001

นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2538 เป็นต้นมา การตัดสินใจเรื่องแรก ๆ ของชีรัคเห็นจะเป็นประเด็น การรณรงค์ทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ครั้งสุดท้ายของฝรั่งเศส ก่อนที่จะลงนามในสนธิสัญญาว่าด้วยการห้ามทดลองอาวุธนิวเคลียร์โดยสิ้นเชิง โดยมีวัตถุประสงค์ให้คณะกรรมาธิการพลังงานนิวเคลียร์ของฝรั่งเศส สามารถสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์จำลองการระเบิดของนิวเคลียร์สำเร็จ การตัดสินใจครั้งนี้ได้ก่อให้เกิดกระแสคัดค้านอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในนิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และในหมู่นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การคัดค้านไม่เป็นผล การทดสอบดังกล่าวได้มีขึ้นในที่สุด

ฝรั่งเศสได้เปลี่ยนแนวนโยบายระหว่างประเทศโดยสิ้นเชิง ในยูโกสลาเวีย ประธานาธิบดีชีรัคได้สั่งให้กดดันยูโกสลาเวีย อันเนื่องมาจากเหตุสังหารทหารฝรั่งเศส ที่ปฏิบัติงานร่วมกับทหารในกลุ่มประเทศสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ในอันที่จะหยุดยั้งสงครามกลางเมือง ในขณะเดียวกัน ชีรัคยังได้ดำเนินนโยบายที่ทำให้เขาใกล้ชิดกับกลุ่มประเทศอาหรับยิ่งขึ้น โดยที่ยังคงปฏิบัติภารกิจเกี่ยวกับกระบวนการสันติภาพ ในกรณีพิพาทอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ฝรั่งเศสได้เข้าร่วมคณะบัญฌาคส์ารที่เป็นส่วนหนึ่งของนาโต้

คณะรัฐบาลของนายอาแลง ชูเป ที่สูญเสียคะแนนนิยมอย่างมาก ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ผละงานประท้วงครั้งใหญ่ ตลอดช่วงฤดูหนาวระหว่างปี พ.ศ. 2538-2539 อันเนื่องมาจากการปฏิรูประบบเกษียณอายุในภาคเอกชน และการแช่แข็งเงินเดือนข้าราชการ ก่อนที่รัฐบาลเสียข้างมากของเขาจะหมดแรงต้านทาน ชีรัคได้ตัดสินใจเสี่ยงยุบสภาไม่กี่เดือนก่อนวันหมดวาระ ทั้งนี้ อาจจะเนื่องมาจากคำแนะนำของนายโดมีนีก เดอ วีลแปงก็เป็นได้ อย่างไรก็ดี ไม่มีผู้ใดเข้าใจเหตุผลที่แท้จริงของชีรัคต่อการตัดสินใจดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นพรรคของเขาและผู้ลงคะแนนสนับสนุน ในขณะที่ฝ่ายค้านต่างโอดครวญ การเลือกตั้งที่ตามมา ชัยชนะตกเป็นของพรรคฝ่ายซ้ายหลายพรรค นำโดยนายลีโอเนล โฌส์แปง ชีรัคจึงได้แต่งตั้งให้เขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

การร่วมรัฐบาลผสมครั้งที่สาม กินเวลายาวนานกว่าครั้งก่อน ๆ มาก รวมเวลาทั้งสิ้นห้าปีด้วยกัน ทั้งประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีต่างมีมติเป็นเสียงเดียวในเรื่องที่เกี่ยวกับสหภาพยุโรป หรือที่เกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศ ได้เข้าร่วมประชุมสุดยอดยุโรปร่วมกัน (เช่นเดียวกับเมื่อครั้งร่วมรัฐบาลผสมสองครั้งแรก) แม้ว่าบุคคลทั้งสองจะมีการกล่าววาจะกระทบกระทั่งกันบ้างก็ตาม

ในสมัยนี้เองที่เกิดเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับเงินทุนสนับสนุนทางการเมือง ให้แก่พรรคแอร์เปแอร์ และสำนักงานผู้ว่าราชการกรุงปารีส พรรคแอร์เปแอร์ (เช่นเดียวกับพรรคอูเดเอฟ เปเอส และพรรคเปเซ) ถูกกล่าวหาว่าได้รับเงินทุนสนับสนุนพรรคจากบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ที่ทางกรุงปารีสและเขตปริมณฑลได้ทำสัญญาจัดซื้อจัดจ้างงานโยธามูลค่าสูง ฌาคส์ ชีรัคดำรงตำแหน่งประธานพรรคแอร์เปแอร์ในขณะนั้น ซึ่งก่อนหน้านี้ เขาดำรงตำแหน่งผู้ราชการกรุงปารีสด้วย เมื่อเกิดเหตุการณ์ผู้ลงคะแนนเสียงปลอมในเขต 5 กรุงปารีส จึงมีการตั้งข้อหาอดีตผู้ว่าราชการกรุงปารีสว่าด้วยการใช้งบประมาณแผ่นดินผิดปกติ โดยข้อหาแรกเกี่ยวกับการใช้เงินหลวงเพื่อการเดินทางส่วนตัวโดยเครื่องบิน ซึ่งนายแบร์ทรองด์ เดอลาโนเอ ผู้ว่าราชการกรุงปารีสคนใหม่ ได้มองข้ามข้อกล่าวหาแรกนี้ และได้ขอให้เปิดการสืบสวนคดี เกี่ยวกับการที่ฌาคส์ ชีรัค และนางแบร์นาแดต ภริยา ได้ใช้เงินจำนวนกว่าสองล้านยูโร ไปในหมวดของ "ค่าเลี้ยงรับรอง" ในขณะดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงปารีส ระหว่างปี พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987) และ พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995)

โดยการริเริ่มของนายอาร์โน มงต์บูร์ก ส.ส.พรรคสังคมนิยม ส.ส.อีกสามสิบคน (จากพรรคเปเอส 19 คน พรรคสีเขียว 4 คน พรรคซ้ายจัด 4 คน พรรคเปเซเอฟ 2 คน และพรรคเอ็มเอเซ 1 คน) ได้ยื่นรายชื่อขอให้ชีรัคขึ้นให้การต่อศาลสูง ชีรัคปฏิเสธข้อเรียกร้องดังกล่าว

ซึ่งตามมาตราหนึ่งของรัฐธรรมนูญฝรั่งเศส คณะที่ปรึกษารัฐธรรมนูญ ที่มีนายโรลองด์ ดูมา เป๋นประธานในขณะนั้น ได้ออกมายืนยันว่าประธานาธิบดีได้รับการคุ้มกันทางกฎหมาย ทำให้เขาไม่ต้องถูกดำเนินคดีขณะดำรงตำแหน่ง ตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ

รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีลีโอเนล โฌส์แปง ได้รับคะแนนนิยมอย่างมาก จากนโยบายลดชั่วโมงทำงานให้เหลือ 35 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ จากอัตราการว่างงานที่ลดลง และจากเศรษฐกิจโลกที่กระเตื้องขึ้นโดยรวม จึงถือโอกาสได้เปรียบนี้กำหนดปฏิทินการเลือกตั้งเบื้องต้นขึ้น (ให้เลือกตั้งประธานาธิบดี ก่อนเลือกสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) และได้รับความเห็นชอบจากประธานาธิบดีชีรัค (ที่ตอนแรกคัดค้านอย่างหนัก) ให้เขาเสนอการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเปลี่ยนวาระดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจากเจ็ดปี เป็นห้าปี ประธานาธิบดีชีรัคต้องเผชิญกับแรงกดดันจากกลุ่มสนับสนุนนายโฌส์แปง และคะแนนนิยมของเขาก็ไม่ค่อยดีนัก จึงได้ตัดสินใจประกาศตัวเองเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) อีกสมัย ซึ่งการประกาศดังกล่าวได้สร้างความผิดหวังเป็นอย่างมากให้แก่นายกรัฐมนตรีโฌส์แปง ที่ต้องการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเช่นกัน

ด้วยนโยบายสนับสนุนกลุ่มส.ส.หนุ่มของพรรคแอร์เปแอร์ ชีรัคให้ความสำคัญต่อการจัดตั้งพรรคอูเอ็มเป พรรคการเมืองใหม่อย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งพรรคนี้ก็มีแนวโน้มว่าจะรวมเข้ากับพรรคแอร์เปแอร์ พรรคอูเดเอฟ และพรรคเดโมคราซี ลีเบราลในที่สุด แนวนโยบายของพรรคอูเอ็มเป (ที่พรรคอูเดเอฟ นำโดยนายฟรองซัวส์ เบรู ปฏิเสธที่จะรวมพรรคด้วย) พัฒนาอยู่บนแนวคิดเรื่องความมั่นคง และการลดภาษี ชีรัคซึ่งบัดนี้มีประสบการช่ำชองในการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี ได้รณรงค์หาเสียงอย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชูประเด็นความไม่มั่นคง ทำให้นายโฌส์แปง คู่แข่งแทบหืดขึ้นคอ เมื่อวันที่ 21 เมษายน ได้มีเรื่องน่าประหลาดใจเกิดขึ้น "ราวกับสายฟ้าฟาด" เมื่อนายลีโอเนล โฌส์แปงพ่ายการเลือกตั้งตั้งแต่รอบแรก ฌาคส์ ชีรัค ที่มีคะแนนนำอยู่ที่ 19.88 % ต้องชิงตำแหน่งกับนายชอง-มารี เลอ เป็น นักการเมืองอนุรักษ์นิยมหัวรุนแรง ที่มักจะถูกมองว่า มีความรังเกียจเดียดฉันชาวต่างชาติอยู่ในสายเลือด ชีรัคที่แน่ใจว่าต้องได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน ได้ปฏิเสธการโต้วาทีกับคู่แข่ง ด้วยเหตุผลที่ว่า "เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการขาดความอดทนอดกลั้นทางสังคม และความเกลียดชัง ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีการถ่ายโอนแนวความคิด เป็นไปไม่ได้ที่จะมีการประนีประนอม เป็นไปไม่ได้ที่จะมีการโต้วาที" บุคคลทั้งสองเกลียดกันและกันมาก ชีรัคปล่อยให้กลุ่มคนที่นิยมพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายและคนหนุ่มสาวออกมาประท้วง และเรียกร้องให้เขาเหล่านั้นลงคะแนนให้ตน (สโลแกนของกลุ่มต่อต้านชีรัคที่มีข้อความรุนแรงสุดเห็นจะเป็น "จงลงคะแนนให้คนขี้โกง แต่อย่าลงให้เผด็จการฟาสซิสต์") และในที่สุด ฌาคส์ ชีรัคก็ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีฝรั่งเศสอีกสมัย ด้วยคะแนน 82.21% อย่างที่ไม่มีผู้ใดเคยทำได้มาก่อน

[แก้] ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสสมัยที่สอง (ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545)

นายลีโอเนล โฌส์แปงที่พ่ายการเลือกตั้งประธานาธิบดี ได้ยื่นใบลาออกเองแต่เนิ่น ๆ ประธานาธิบดีชีรัค จึงได้แต่งตั้งนายชอง-ปีแยร์ ราฟาแรง สมาชิกพรรคอูเอ็มเป เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งราฟารังก็ได้บริหารประเทศตามบัญชาของประธานาธิบดีอยู่เป็นเวลาหลายสัปดาห์ พรรคอูเอ็มเปที่ถูกสถาปนาขึ้น ได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นในการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่ตามมา ฌาคส์ ชีรัคกุมเสียงข้างมากในสภาไว้ได้อีกครั้ง

นายกรัฐมนตรีชอง-ปีแยร์ ราฟาแรงได้เริ่มดำเนินนโยบายตามที่ได้หาเสียงเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นการลดภาษีเงินได้ และการจัดการกับกลุ่มอันธพาลอย่างตรงจุด ที่ดำเนินการโดยนายนีโกลา ซาร์โกซี รัฐมนตรีมหาดไทยผู้ได้รับความนิยมอย่างสูงและมีสื่ออยู่ในมือ และการจัดการปัญหาความไม่ปลอดภัยบนท้องถนน ที่ดำเนินการโดยนายชีล เดอ โรเบียง รัฐมนตรีว่าการคมนาคมและขนส่ง ตามมาด้วยการปรับนโยบายการทำงานไม่เกิน 35 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ให้ยืดหยุ่นยิ่งขึ้น และการปฏิรูปการเกษียณอายุและประกันสังคม รวมทั้งการกระจายอำนาจบริหารสู่ท้องถิ่น

ฌาคส์ ชีรัค ระหว่างพิธีสวนสนามในวันชาติฝรั่งเศส เมื่อ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 2003

หลังการก่อวินาศกรรมเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 สถานการณ์ระหว่างประเทศ เริ่มมีความตึงเครียดจากนโยบายต่างประเทศของประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ของสหรัฐ ผู้มีความเห็นไม่ลงรอยกับชีรัค แม้ว่าเขาจะสนับสนุนให้สหรัฐเข้าแทรกแซงในอาฟกานิสถาน แต่ขีรักกลับเลือกจะอยู่ฝ่าย แกร์ฮาร์ด ชเรอเดอร์ วลาดีมีร์ ปูติน และสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อเป็นแนวร่วมสำคัญในการคัดค้านการบุกอิรักในปี พ.ศ. 2546 ของสหรัฐ แนวคิดของชีรัค ที่มีนายโดมีนีก เดอ วีลแปง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเคียงบ่าเคียงไหล่ ได้รับการตอบสนอง เมื่อสหรัฐจะต้องผ่านมติเห็นชอบของสหประชาชาติก่อนที่จะทำการแทรกแซงใด ๆ ก็ตาม เขาอาศัยมติเห็นชอบของคนในชาติเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว และเผยแพร่แนวคิดเรื่อง "โลกหลายขั้วอำนาจ" หลังจากที่ชีรัคได้รับการสนับสนุนจากสหภาพยุโรป และผู้นำบางประเทศ ยกเว้นจากนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร อิตาลี และสเปน เขาจึงประกาศคัดค้านสหรัฐและปล่อยให้นานาชาติเข้าใจว่า เขาจะใช้สิทธิ์การออกเสียงยับยั้ง (วีโต) ในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ การประกาศครั้งนี้ให้เกิดกระแสต่อต้านไปทั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสื่ออังกฤษบางส่วน (หนังสือพิมพ์เดอะ ซัน พาดหัวข่าวว่า "ชีรัคเป็นหนอนบ่อนไส้") ความสัมพันธ์กับสหรัฐเลวร้ายลงมาก และเพิ่งจะเริ่มดีขึ้นหลังพิธีรำลึกการยกพลขึ้นบกที่นอร์มงดีของทหารพันธมิตร ในอีกสิบห้าเดือนต่อมา

วันรุ่งขึ้นหลังการพ่ายแพ้การเลือกตั้งระดับอำเภอ และระดับจังหวัดครั้งใหญ่เมื่อปี พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) (เขตปกครอง 20 แห่ง จากทั้งหมด 22 แห่งของกรุงปารีสและปริมณฑลกลายเป็นฝ่ายซ้าย) ประธานาธิบดีชีรัคก็ได้แต่งตั้งให้นายนีโกลา ซาร์โกซีเป็นรัฐมนตรีกิจการของรัฐ รัฐมนตรีว่ากระทรวงเศรษฐกิจ การเงิน และอุตสาหกรรม สื่อสิ่งพิมพ์ทางการเมือง (ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ เลอ กานาร์ อองเชนเน นูแวล ออบแซร์วาเตอร์ หรือ เล็กซ์เพรส) ต่างก็มองว่าเป็นวิธีการตัดคะแนนนิยมของตัวเองอย่างรุนแรง (ตรงข้ามกับนายกรัฐมนตรีที่มีคะแนนต่ำสุดในการหยั่งคะแนนนิยม) เมื่อต้องเผชิญหน้ากับนายนีโกลา ซาร์โกซีที่ทะเยอทะยานประกาศตนว่าต้องการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีชีรัคที่ประกาศระหว่างการปราศรัยในวันชาติฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) ต้องการเบรกความร้อนแรงของซาร์โกซีเอาไว้ โดยให้เขาเลือกระหว่างเก้าอี้รัฐมนตรีที่มีอยู่ หรือไม่ก็ลาออกไปรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคอูเอ็มเป ในเดือนพฤศจิกายน นีโกลา ซาร์โกซี ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานพรรคอูเอ็มเป และลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี ที่ได้ส่งต่อให้นายแอร์เว เกย์มาร์ ซึ่งต่อมา ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 (ค.ศ. 2005) นายแกร์มาร์ถูกสถานการณ์บีบให้ลาออกจากเรื่องอื้อฉาวที่สื่อมวลชนโหมกระพือข่าว โดยมีนายเทียรี เบรอตง ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน

ในการที่จะนำพาชาวฝรั่งเศสให้เห็นชอบกับรัฐธรรมนูญยุโรป ฌาคส์ ชีรัคได้ตัดสินใจจัดการลงประชามติขึ้นเพื่อรับรองแนวคิดดังกล่าว ชีรัคที่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการผลักดันให้ตุรกีเข้าร่วมสหภาพยุโรป ("ความฝันอันสูงสุด"ของเขา) มองว่า ส.ส. ของเขาบางส่วนจะคัดค้านแนวคิดนี้ และจะทำให้การลงประชามติไม่เป็นไปอย่างเรียบร้อย เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม คณะกรรมาธิการยุโรป 25 คนได้เปิดการเจรจากับตุรกี โครงการแนวนโยบายโบลเคอสไตน์สามารถลดความกังวลทางสังคมที่แผ่ขยายไปทั่วสหภาพยุโรปลงได้ แม้ว่าประธานาธิบดีชีรัคจะมีความพยายามลดแรงเสียดทาน ผลการหยั่งเสียงพลิกผันถึงสามครั้ง และการโต้วาทีกระตุ้นความสนใจของชาวฝรั่งเศสได้มาก และสร้างความสนใจแก่สื่อมวลชน จนกระทั่งวันลงประชามติ

เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ภายหลังการรณรงค์ที่ประธานาธิบดีออกโรงด้วยตนเอง ผลปรากฏว่าชาวฝรั่งเศสมีมติไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญยุโรปถึง 54.87% จากผู้มาลงประชามติทั้งหมด 69.74% ในวันรุ่งขึ้น นายกรัฐมนตรีชอง-ปีแยร์ ราฟาแรงก็ประกาศลาออก ฌาคส์ ชีรัคประกาศผู้มาดำรงตำแหน่งใหม่เป็นคู่ของนายโดมีนีก เดอ วีลแปง และนายนีโกลา ซาร์โกซี โดยที่เดอ วีลแปงครองเก้าอี้นายกรัฐมนตรี และนายซาร์โกซีนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีกิจการของรัฐ พ่วงด้วยตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไท สื่อมวลชนยกประเด็นว่าบุคคลในคณะรัฐบาลมักจะเป็นหน้าเดิม ๆ แต่ก็ประหลาดใจกับการร่วมรัฐบาลกันของบุคคลทั้งสอง (โดยเปรียบนิโคลา ซาร์โกซีว่าเป็น "รองนายกรัฐมนตรี" เลยทีเดียว)

ฌาคส์ ชีรัค เริ่มการงัดข้อกับนายกรัฐมนตรีโทนี แบลร์ของสหราชอาณาจักร (ผู้เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานสหภาพยุโรปในขณะนั้น) เกี่ยวกับงบประมาณของสหภาพยุโรป การเผชิญหน้ากันครั้งนี้ขยายผลไปถึงการแข่งกันเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนปี 2012 ระหว่างกรุงปารีส และกรุงลอนดอน ที่ทั้งคู่ต่างออกโรงด้วยตนเอง ชาวฝรั่งเศสต่างค่อนข้างมั่นใจว่าได้เปรียบ และต้องการทำลายบรรยากาศอึมครึมที่ปกคลุมประเทศ แต่เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม คณะกรรมการโอลิมปิกสากลกลับเลือกกรุงลอนดอนเป็นเจ้าภาพในที่สุด

นับแต่นั้นเป็นต้นมา คะแนนนิยมของชีรัคก็ตกต่ำลงมาก และเพิ่มขึ้นอย่างเชื่องช้า เมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2548 เขาต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลทหารเมืองวัล-เดอ-กราซ อันเนื่องจากโรคหลอดเลือดเส้นประสาท (หลอดเลือดเส้นประสาทล้มเหลว) ทำให้การมองเห็นพร่ามัว โชคดีที่อาการดังกล่าวก็หายเป็นปกติในไม่กี่วัน เขาออกจากโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2548 แต่ก็ถูกห้ามขึ้นเครื่องบินไปอีกหลายสัปดาห์ นายกรัฐมนตรีโดมีนีก เดอ วีลแปง จึงเป็นตัวแทนฝรั่งเศสเข้าร่วมการประชุมสุดยอดองค์การสหประชาชาติ เมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2548 สื่อมวลชนตอบรับการปฏิบัติภารกิจแทนประธานาธิบดี "หนึ่งร้อยวัน" ของนายกรัฐมนตรีโดมีนีก เดอ วีลแปง เป็นอย่างดี แต่เขาก็ต้องเหนื่อยหน่ายที่ต้องแข่งกับนายนีโกลา ซาร์โกซี ที่ทำตัวโดดเด่นนับตั้งแต่อุบัติเหตุของประธานาธิบดี นักข่าวหลายสำนักต่างยืนยันว่าฌาคส์ ชีรัค จะไม่สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007) อีก และปล่อยให้ผู้อื่นเข้าสืบทอดตำแหน่งประธานาธิบดี

เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2548 ระหว่างการประชุมสุดยอดฝรั่งเศส-อิตาลี ฌาคส์ ชีรัค ได้ตำหนิคณะกรรมาธิการยุโรปที่ไม่ได้ต่อสู้กับการปลดคนงานของฮิวเล็ต-แพคการ์ด ทำให้ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปออกมาตอบโต้ว่าการกล่าวหาดังกล่าว เป็นการ "ตีปี๊บหาเสียง" เนื่องด้วยเห็นว่าปัญหาดังกล่าวเป็นเพียงปัญหาระดับชาติ

นับตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม พ.ศ. 2548 จากเหตุการณ์วัยรุ่นสองคนถูกไฟฟ้าช็อตเสียชีวิต หลังถูกตำรวจไล่กวด แล้วหลบเข้าไปในสถานีไฟฟ้าย่อยของการไฟฟ้าฝรั่งเศส ที่เมืองคลิชี-ซูร์-บัว และจากคำแถลงการณ์ของนายนีโกลา ซาร์โกซี รัฐมนตรีมหาดไทย ที่มีการใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสม ทำให้เกิดเหตุจลาจลขึ้นในคืนถัดมา สื่อมวลชนขนานนามเหตุการณ์นี้ว่าเป็น การลุกฮือของประชาชนในแถบชานเมืองของฝรั่งเศส และได้แผ่ขยายไปทั่วประเทศฝรั่งเศสภายในเวลาไม่กี่วัน (รถยนต์หลายพันคันถูกเผา อาคารสำนักงานและอาคารราชการถูกทำลาย ฯลฯ) วันที่ 8 พฤศจิกายน ประธานาธิบดีชีรัคได้บัญชาให้คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีประกาศภาวะฉุกเฉิน ส่วนปกครองท้องถิ่นสามารถประกาศเคอร์ฟิวได้ทั่วพื้นที่ หรือบางส่วน ฌาคส์ ชีรัคได้ออกมาแถลงต่อชาวฝรั่งเศสครั้งแรกเกี่ยวกับการลุกฮือครั้งนี้ ผ่านทางโทรทัศน์และวิทยุ เมื่อวันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน เมื่อเวลา 20 นาฬิกา ชาวฝรั่งเศสคาดหวังกับการแก้ไขปัญหานี้สูงมาก มีผู้ติดตามสุนทรพจน์ของชีรัคกว่า 20 ล้านคนทั่วประเทศ ซึ่งนับว่าเป็นสถิติสูงสุดในการกล่าวสุนทรพจน์ทางการเมือง ชีรัคใช้เวลา 14 นาที เพื่อย้ำเตือนถึงอุดมการณ์และค่านิยมของสาธารณรัฐ อีกทั้งเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา

[แก้] เส้นทางทางการเมือง

[แก้] ลำดับเหตุการณ์

  • พ.ศ. 2493 (ค.ศ. 1950) เข้าร่วมกองกำลังเพื่อสันติภาพ ในขบวนการที่ใกล้ชิดกับพรรคคอมมิวนิสต์ฝรั่งเศส
  • พ.ศ. 2505 (ค.ศ. 1962) เป็นผู้ประสานงานกับจอร์จ ปอมปิดู นับตั้งแต่ปีพ.ศ. 2505 เป็นค้นมา
  • พ.ศ. 2510 (ค.ศ. 1967) ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรจังหวัดกอแรซ บ้านเกิด และเริ่มอาชีพรัฐมนตรี
  • พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี โดยประธานาธิบดีวาเลรี ยิสการ์ด เดส์แตง
  • พ.ศ. 2519 (ค.ศ. 1976) ประกาศลาออกจากตำแหน่งด้วยการสละเก้าอี้ให้นายเรมง บาร์ แล้วออกไปตั้งพรรคแอร์เปแอร์
  • พ.ศ. 2520 (ค.ศ. 1977) ได้รับเลือกเป็นผู้ว่าราชการกรุงปารีส และครองตำแหน่งนี้ยาวนานกว่า 18 ปี (ได้รับเลือกเข้ามาใหม่ในปี พ.ศ. 2526 และ พ.ศ. 2532)
  • พ.ศ. 2521 (ค.ศ. 1978) เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ได้ประกาศแถลงการณ์เรียกร้องแห่งโกชัง (เมืองซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงพยาบาลที่เขาเข้าพักรักษาตัวหลังประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์) และประกาศว่า "เรากำลังเตรียมตัวรับระบอบปกครองแบบยุคกลางของฝรั่งเศส และเตรียมจะทำให้ประเทศตกต่ำลง" เขายังออกมาแฉว่าพรรคอูเดเอฟ เป็น "พรรคการเมืองของชาวต่างชาติ"
  • พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) สมัครเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีฝรั่งเศสเป็นครั้งแรก ปะทะกับอดีตประธานาธิบดีวาเลรี ยิสการ์ด เดส์แตง ชีรัคได้รับคะแนนเสียงเพียง 18 %
  • พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) พรรคแอร์เปแอร์ และพรรคอูเดเอฟ ได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นในการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เขาได้กลายเป็นนายกรัฐมนตรีในการร่วมรัฐบาลผสมครั้งแรกกับฟรองซัวส์ มิตแตร์รองด์
  • พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) พ่ายแพ้ต่อฟรองซัวส์ มิตแตร์รองด์ ในการเลือกตั้งประธานาธิบดี รอบที่สอง
  • นับตั้งแต่ปีคริสต์ทศวรรษที่ 1990 ชื่อของฌาคส์ ชีรัคได้เข้าไปพัวพันบ่อยครั้ง ในการพิจารณาคดีแปดคดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคดีที่เกี่ยวกับผู้ว่าราชการกรุงปารีส สมัยตำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสามารถคุ้มกันเขาจากการถูกดำเนินคดีไว้ได้
  • พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีฝรั่งเศสสมัยแรก ด้วยคะแนนเสียง 52.6 % ในการชิงชัยกับนายลีโอเนล โฌส์แปง และแต่งตั้งให้นายอลัง ชูเป ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
  • พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) ประกาศยุบสภา พรรคการเมืองฝ่ายซ้ายได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำให้ชีรัคต้องยอมจัดตั้งรัฐบาลผสมร่วมกับพรรคฝ่ายซ้ายอีกครั้ง (พ.ศ. 2540-2545) และแต่งตั้งนายลีโอเนล โฌส์แปง จากพรรคสังคมนิยมฝรั่งเศส (เปเอส) เป็นนายกรัฐมนตรี
  • ค.ศ. 2002 ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีฝรั่งเศสสมัยที่สอง ด้วยคะแนนเสียง 19.88 % ในการเลือกตั้งรอบแรก (คะแนนต่ำสุดในประวัติศาสตร์ เท่าที่ประธานาธิบดีผู้เพิ่งพ้นวาระเคยได้รับ) และได้รับคะแนนเสียง 82.21 % ในการเลือกตั้งรอบที่สอง อันเป็นคะแนนที่สูงสุดในประวัติศาสตร์ของสาธารณรัฐที่ห้า อันเนื่องมาจากความเห็นพ้องต้องกันของชาวฝรั่งเศส ที่ไม่ต้องการให้นายชอง-มารี เลอ เปน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคฟรองซ์ นาซองนาล (พรรคอนุรักษ์นิยมสุดขั้ว) ได้รับเลือก ตามคำเรียกร้องของพรรคการเมืองส่วนใหญ่ การหยั่งเสียงหน้าคูหาของสำนักโพล IPSOS ระบุว่า ผู้ไปเลือกตั้งส่วนใหญ่ลงคะแนนให้พรรคฝ่ายซ้าย และพรรคขั้วเป็นกลางในรอบแรก แต่หันมาลงคะแนนให้ชีรัคในรอบที่สอง

[แก้] สมัยที่ได้รับเลือกตั้ง

  • ที่ปรึกษาท้องถิ่น และผู้ว่าราชการจังหวัด :
    • พ.ศ. 2508 - 2514 : สมาชิกคณะที่ปรึกษาท้องถิ่นแห่งแซงต์-เฟเรออล จังหวัดกอแรซ
    • พ.ศ. 2514 - 2520 : สมาชิกคณะที่ปรึกษาท้องถิ่นแห่งแซงต์-เฟเรออล จังหวัดกอแรซ
    • พ.ศ. 2520 - 2526 : สมาชิกคณะที่ปรึกษาท้องถิ่นแห่งกรุงปารีสและผู้ว่าราชการกรุงปารีส
    • พ.ศ. 2526 - 2532 : สมาชิกคณะที่ปรึกษาท้องถิ่นแห่งกรุงปารีสและผู้ว่าราชการกรุงปารีส
    • พ.ศ. 2532 - 2538 : ผู้ว่าราชการกรุงปารีส สิ้นสุดวาระดำรงตำแหน่งหลังได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2538 และจะหมดสมัยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาท้องถิ่นประจำกรุงปารีส ในการเลือกตั้งท้องถิ่นเดือนถัดมา คือเดือนมิถุนายน 2538
  • ที่ปรึกษาทั่วไป:
    • พ.ศ. 2511 - 2513 : สมาชิกคณะที่ปรึกษาทั่วไปแห่งจังหวัดกอแรซ
    • พ.ศ. 2513 - 2519 : สมาชิกและประธานคณะที่ปรึกษาทั่วไปแห่งจังหวัดกอแรซ
    • พ.ศ. 2519 - 2522 : สมาชิกและประธานคณะที่ปรึกษาทั่วไปแห่งจังหวัดกอแรซ
    • พ.ศ. 2522 - 2525 : สมาชิกคณะที่ปรึกษาทั่วไปแห่งจังหวัดกอแรซ
  • สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝรั่งเศส:
    • พ.ศ. 2510 - 2510 : สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกอแรซ (1)
    • พ.ศ. 2511 - 2511 : สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกอแรซ (1)
    • พ.ศ. 2516 - 2516 : สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกอแรซ (1)
    • พ.ศ. 2519 - 2521 : สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกอแรซ (2)
    • พ.ศ. 2521 - 2524 : สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกอแรซ (3)
    • พ.ศ. 2524 - 2529 : สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกอแรซ
    • พ.ศ. 2529 - 2529 : สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกอแรซ (1)
    • พ.ศ. 2531 - 2536 : สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกอแรซ
    • พ.ศ. 2536 - 2538 : สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกอแรซ (4)

(1) หมดวาระหลังจากได้รับการเสนอชื่อเข้าร่วมรัฐบาล
(2) ได้รับเลือกตั้งจากการเลือกตั้งซ่อมเพื่อหาผู้ดำรงตำแหน่งแทนส.ส.คนก่อนที่ลาออกจากตำแหน่ง
(3) หมดวาระหลังจากการประกาศยุบสภา
(4) หมดวาระหลังจากได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส

[แก้] หน้าที่ในคณะรัฐบาล

  • พ.ศ. 2510 - พ.ศ. 2511 : รัฐมนตรีกิจการพิเศษประจำกระทรวงกิจการสังคม รับผิดชอบปัญหาว่างงาน (ในรัฐบาลจอร์จ ปอมปิดู 4)
  • พ.ศ. 2511 - พ.ศ. 2511 : รัฐมนตรีกิจการพิเศษประจำกระทรวงเศรษฐกิจและการเงิน (ในรัฐบาลจอร์จ ปอมปิดู 5)
  • พ.ศ. 2511 - พ.ศ. 2512 : รัฐมนตรีกิจการพิเศษประจำกระทรวงเศรษฐกิจและการเงิน (ในรัฐบาลโมริส กูฟ เดอ มูร์วิลล์)
  • พ.ศ. 2512 - พ.ศ. 2515 : รัฐมนตรีกิจการพิเศษประจำกระทรวงเศรษฐกิจและการเงิน (ในรัฐบาลฌาคส์ ชาบอง-เดลมา)
  • พ.ศ. 2515 - พ.ศ. 2516 : รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบท (ในรัฐบาลปีแยร์ เมสแมร์ 1)
  • พ.ศ. 2516 - พ.ศ. 2517 : รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบท (ในรัฐบาลปีแยร์ เมสแมร์ 2)
  • พ.ศ. 2517 - พ.ศ. 2517 : รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย (ในรัฐบาลปีแยร์ เมสแมร์ 2)
  • พ.ศ. 2517 - พ.ศ. 2519 : นายกรัฐมนตรี (ในรัฐบาลฌาคส์ ชีรัค 1)
  • พ.ศ. 2529 - พ.ศ. 2531 : นายกรัฐมนตรี (ในรัฐบาลฌาคส์ ชีรัค 2)

[แก้] เกียรติประวัติ


[แก้] อื่น ๆ

[แก้] รายการตลกล้อเลียน

  • รายงานข่าวของเล กินโยล (คล้ายกับรายการ "รัฐบานหุ่น" ของไทย) นำฌาคส์ ชีรักมาล้อเลียนประจำ โดยนำเสนอในแบบของชายชาวฝรั่งเศสผู้มีอันจะกินทั่วไป และดูน่ารักดีในแบบของเขา จนทำให้เราอาจกล่าวได้ว่า รายการเล กินโยลมีส่วนช่วยให้ชีรัคได้รับชัยชนะเหนือนายเอดูอาร์ บัลลาดูร์ ในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2538 (แต่ไม่ใช่ในปี พ.ศ. 2545 ที่รายการเดียวกันนี้นำเสนอชีรัคในแบบของ 'คนขี้โกหก' อันไม่น่านิยมชมชอบ)
  • ในรายการเบเบ็ตโชว์ หรือ "หุ่นหรรษา" (พ.ศ. 2525-2536) ของชอง รูกา และ สเตฟาโน โคลลาโร ฌาคส์ ชีรัค เป็นอีกาขนสีน้ำเงิน ที่มีชื่อว่า "แบล็ค ฌาคส์" (ออกเสียงคล้ายกับคำว่า เกมไพ่ "แบล็ค แจ็ค")

[แก้] ทั่วไป

  • การสะสมดวงตราไปรษณียากร : การไปรษณีย์ของทางการปาเลสไตน์ได้ออกดวงตราไปรษณียากรแผงละสี่ดวง เพื่อเป็นเกียรติแก่ฌาคส์ ชีรัค ในปีค.ศ. 2004 (ดูภาพ)
  • ฌาคส์ และแบร์นาแดต ชีรัค ได้อุปการะเด็กหญิงอา เดา ฝาม ชาวเวียดนามเป็นบุตรบุญธรรม ในการเดินทางมาถึงประเทศฝรั่งเศสของเธอในปีค.ศ. 1979
  • ชีรัคชื่นชอบชาวอินเดียน ไทโน ซึ่งเป็นอินเดียนแดงจากอเมริกากลาง และชนเผ่าพื้นเมืองมาก เขาได้ร่วมเล่าถึงความชอบส่วนตัวในรายการ "แซร์เคลอ เดอ มีนุย" (ชมรมเที่ยงคืน) ของ มีเชล ฟีล ในปีพ.ศ. 2537
  • ชีรัคเคยแปลบทกวีภาษาจีนบทหนึ่ง ตั้งแต่สมัยที่เขาเป็นนักเรียน ชีรัคพูดภาษาจีนกลางได้อย่างฉะฉาน และยังเคยสนทนาเป็นภาษาจีนกับกง ลี่อีกด้วย
  • การตัดสินใจดำเนินการทดลองนิวเคลียร์ต่อไป ทันทีที่เขาเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีฝรั่งเศส เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดอัลบั้มรวมเพลงภาษาเยอรมันที่ชื่อว่า "หยุดชีรัค" จากแนวคิดของวงดี อาซเตอ และดี ฟานตาสทิสเชน เวียร์ ดี โทเทน โฮเซน รวมถึง เฟตเตส บรอต ภาพปกของอัลบั้มนี้เปรียบเทียบระเบิดนิวเคลียร์ กับองคชาติที่กำลังตื่นตัวอย่างชัดเจน

[แก้] หนังสือเกี่ยวกับชีรัค

[แก้] งานเขียนเชิงวิจารณ์

  • วิทยานิพนธ์ของสถาบันการเมืองศึกษา เรื่อง การพัฒนาท่าเรือเมืองนิวออร์ลีน พ.ศ. 2497
  • คำปราศรัยสำหรับฝรั่งเศสในยามที่ต้องตัดสินใจ พ.ศ. 2521
  • แสงทองแห่งความหวัง: การครุ่นคิดจากกลางคืนจนถึงรุ่งเช้า พ.ศ. 2521
  • ฝรั่งเศสใหม่ แนวคิดหมายเลข 1 พ.ศ. 2537
  • ฝรั่งเศสสำหรับทุกคน พ.ศ. 2538

[แก้] หนังสือหรือบทความ

[แก้] แหล่งข้อมูลอื่น

สมัยก่อนหน้า ฌาคส์ ชีรัค สมัยถัดไป
ฟรองซัวส์ มิตแตร์รองด์ 2leftarrow.png Armoiries république française.svg
ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส
(พ.ศ. 2538 - พ.ศ. 2550)
2rightarrow.png นิโกลาส์ ซาร์โกซี
ฟรองซัวส์ มิตแตร์รองด์ 2leftarrow.png Coat of arms of Andorra.svg
ผู้ปกครองร่วมแห่งอันดอร์รา
ร่วมกับ ฮวน มาร์ติ อี อลานิส และ
ฮวน เอ็นริก วิเวส อี ซิซิเลีย

(พ.ศ. 2538 - พ.ศ. 2550)
2rightarrow.png นิโกลาส์ ซาร์โกซี
เอดูอาร์ด บัลลาดูร์ 2leftarrow.png Flag of Europe.svg
ประธานคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป
(17 พฤษภาคม พ.ศ. 2538 - 30 มิถุนายน พ.ศ. 2538)
2rightarrow.png เฟลิเป กอนซาเลส
โลรองต์ ฟาบิอูส์ 2leftarrow.png นายกรัฐมนตรี
ประธานาธิบดีฟรองซัวส์ มิตแตร์รองด์

(20 มีนาคม พ.ศ. 2529 - 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2531)
2rightarrow.png มิแชล โรการ์ด
ตำแหน่งถูกยกเลิก
ก่อนหน้านั้น ฌูลส์ เฟร์รี
2leftarrow.png นายกเทศมนตรีปารีส
(พ.ศ. 2520 - พ.ศ. 2538)
2rightarrow.png ฌอง ติเบรี
2leftarrow.png ประธานพรรคแอร์เปแอร์ (RPR)
(พ.ศ. 2519 - พ.ศ. 2537)
2rightarrow.png อแลง ฌูป์เป
ปีแอร์ เมสแมร์ 2leftarrow.png นายกรัฐมนตรี
ประธานาธิบดีวาเลรี ชิสการ์ด เดส์แตง

(28 พฤษภาคม พ.ศ. 2517 - 25 สิงหาคม พ.ศ. 2519)
2rightarrow.png เรมงด์ บาร์
เรมงด์ มาร์เซลแล็ง 2leftarrow.png รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
รัฐบาลปีแอร์ เมสแมร์ 3

(พ.ศ. 2517)
2rightarrow.png มิแชล โปเนียโตวสกี
มิแชล กวงตาต์ 2leftarrow.png รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร
รัฐบาลปีแอร์ เมสแมร์ 1 และ 2

(พ.ศ. 2515 - พ.ศ. 2517)
2rightarrow.png เรมงด์ มาร์เซลแล็ง