ชินคันเซ็น
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ชินคันเซ็น (ญี่ปุ่น: 新幹線 shinkansen ?) เป็นเครือข่ายของรถไฟความเร็วสูงในญี่ปุ่นซึ่งดำเนินการโดย 4 กลุ่มบริษัทรถไฟญี่ปุ่น นับตั้งแต่ได้เปิดใช้ โทไกโด ชินคันเซ็น ในปี 1964 รถไฟคันนี้สามารถวิ่งด้วยความเร็ว 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หลังจากนั้น เครือข่ายของระบบรถไฟนี้ก็ได้ขยายออกไปจนครอบคลุมพื้นที่สำคัญต่างๆของประเทศตามเมืองใหญ่ๆในเกาะฮอนชู เกาะคิวชู ความยาวเส้นทางรวม 2,459 กิโลเมตร โดยสามารถวิ่งด้วยความเร็ว 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แม้จะเกิดแผ่นดินไหวหรือพายุไต้ฝุ่น ก็สามารถวิ่งได้ตามปกติ ในรางปกตินั้นรถไฟสามารถเร่งความเร็วได้ถึง 443 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (ทำการทดสอบในปี 1996) แต่สามารถเร่งความเร็วได้ถึง 581 กิโลเมตรต่อชั่วโมงซึ่งเป็นความเร็วสถิติโลกเมื่อวิ่งด้วยรางรถไฟแม่เหล็ก (แม็คเลฟ) ในปี 2003
ชินคันเซ็น มีความหมายว่า "ทางรถไฟสายใหม่" ดังนั้น ตามความหมายอย่างเป็นทางการชินคันเซ็น จะเป็นชื่อที่ใช้เรียกระบบรางรถไฟเท่านั้น ส่วนตัวรถไฟจะมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า "รถไฟความเร็วสูง" หรือ "รถไฟซุปเปอร์เอ็กเพรส" (超特急, chō-tokkyū) อย่างไรก็ตาม ทั้งสองชื่อก็ไม่ได้ทำให้เกิดความสับสนแต่อย่างใด สามารถเรียกใช้แทนกันได้แม้แต่ในญี่ปุ่นก็ตาม
เมื่อเปรียบเทียบกับทางรถไฟสายเก่าแล้ว ชินคันเซ็นจะมีความแตกต่างตรงที่รางรถไฟจะมีความกว้างเป็นแบบมาตรฐาน และมีการขุดอุโมงค์เข้าไปหรือสร้างสะพานข้ามเมื่อเจอสิ่งกีดขวางแทนที่จะอ้อมไปแบบแต่ก่อน ทำให้เส้นทางรถไฟของชินคันเซ็นจะมีความคดเคี้ยวน้อยกว่า และช่วยร่นระยะทางให้ไปถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีเส้นทางเดินรถที่ใหญ่และไกล แต่ชินคันเซ็นนั้นก็เป็นเส้นทางที่ใช้เชื่อมตามมหานครใหญ่ๆในญี่ปุ่นเท่านั้น
เนื้อหา |
[แก้] ประวัติ
ญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกที่สร้างทางรถไฟมาเพื่อรถไฟความเร็วสูงโดยเฉพาะ เนื่องจากภูมิประเทศของญี่ปุ่นจะเต็มไปด้วยภูเขามากมาย เส้นทางรถไฟที่มีอยู่ในขณะนั้นจึงมีความกว้างแบบแคบ คือ 1,067 มิลลิเมตร ซึ่งทำให้ต้องวางเส้นทางรถไฟที่คดเคี้ยวและรถไฟไม่สามารถเร่งให้มีความเร็วสูงกว่านี้ได้ ต่อมา ญี่ปุ่นมีความต้องการสร้างระบบรถไฟความเร็วสูงมากกว่าความต้องการสร้างของประเทศที่มีระบบรางรถไฟความกว้างมาตรฐานอยู่แล้วและญี่ปุ่นนั้นก็มีศักยภาพในการปรับปรุงระบบรถไฟให้ทันสมัยมากกว่าอีก
[แก้] จุดประสงค์แรก
ชื่อเรียกอีกชื่อที่คุ้นหูกันดีสำหรับชินคันเซ็นนี้ก็คือ รถไฟหัวกระสุน (bullet train) ซึ่งเป็นความหมายของคำในภาษาญี่ปุ่นว่า dangan ressha (弾丸列車) ต่อมาชื่อนี้ได้นำมาเรียกเป็นชื่อเล่นของโครงการตั้งแต่ตอนเริ่มต้นปรึกษาหารือความเป็นไปได้ของโครงการในราวทศวรรษที่ 1930 ชื่อนี้ได้มาจากลักษณะของหัวรถจักรที่มีลักษณะคล้ายกับหัวกระสุนปืนและยังมีความเร็วสูงเหมือนกระสุนปืนนั่นเอง
คำว่า "ชินคันเซ็น" มีการนำมาใช้อย่างเป็นทางการเมื่อปี พ.ศ. 2483 (ค.ศ. 1940) เพื่อใช้เรียกเส้นทางทางเดินรถไฟโดยสาร/สินค้าจากกรุงโตเกียวไปยังชิโมโนเซกิที่จะสร้างขึ้นในสมัยนั้น โดยการใช้พลังงานไอน้ำและหัวรถจักรไฟฟ้าที่สามารถเร่งความเร็วได้ถึง 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หลังจากนั้นสามปี รัฐมนตรีรถไฟได้ผลักดันให้เกิดโครงการขยายทางรถไฟไปสู่นครปักกิ่ง (โดยการเจาะอุโมงค์ผ่านคาบสมุทรเกาหลี) หรือยาวไปจนถึงสิงคโปร์เลยทีเดียว ไปจนถึงการสร้างทางรถไฟเชื่อมกับทางรถไฟสายไซบีเรียนของรัสเซียและทางรถไฟสายอื่นๆ ของเอเชีย แต่ต่อมา แผนนี้ได้มีการยกเลิกในปี พ.ศ. 2486 (ค.ศ. 1943) และสภาวะของญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2กำลังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ อย่างไรก็ตาม โครงสร้างบางส่วนก็ได้รับการพัฒนาต่อ เช่น อุโมงค์บางส่วนได้มาการนำมาใช้สำหรับชินคันเซ็นในปัจจุบันนับตั้งแต่มีการสร้างครั้งแรกในช่วงสงคราม
ในปี พ.ศ. 2500 (1957) บริษัทรถไฟฟ้าโอดะคิวจำกัดได้นำ Romancecar รุ่น 3000 SE ของบริษัทมาทดสอบ รถไฟขบวนนี้สามารถทำความเร็วได้เป็นสถิติโลกสำหรับทางรถไฟความกว้างแบบแคบในสมัยนั้น (145 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) รถไฟขบวนนี้จึงทำให้นักออกแบบรถไฟมีความมั่นใจได้เลยว่าพวกเขาสามารถสร้างรถไฟที่มีความเร็วมากกว่านี้ในรางรถไฟความกว้างมาตรฐานได้ จนนำมาสู่การสร้างชินคันเซ็นซีรีส์ 0 หรือชินคันเซ็นรุ่นแรกในเวลาต่อมา ซึ่งก็มาจากความสำเร็จของ Romancecar นั่นเอง
[แก้] การก่อสร้าง
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้สิ้นสุดลง รถไฟความเร็วสูงก็ได้เลือนหายไปจากความทรงจำของคนญี่ปุ่นเป็นเวลาหลายปี ต่อมากลางทศวรรษที่ 1950 ทางรถไฟสายหลักโทไกโดก็ถูกใช้งานมาจนเต็มขีดความสามารถแล้ว รัฐมนตรีรถไฟของญี่ปุ่นจึงได้ตัดสินใจกลับมาทบทวนโครงการชินคันเซ็นอีกครั้ง รัฐบาลได้อนุมัติโครงการเมื่อปี 1958 การก่อสร้างทางรถไฟส่วนแรกของ โทไกโด ชินคันเซ็น ระหว่างกรุงโตเกียวไปยังโอซากาก็ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2502 การก่อสร้างทางรถไฟครั้งนี้ ญี่ปุ่นจำเป็นต้องกู้เงินจากธนาคารโลกเป็นจำนวนเงิน 80 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ต่อมาในปี 1962 ได้มีพิธีเปิดการทดสอบระบบเพื่อการขนสินค้าเป็นครั้งแรกในบางส่วนของเส้นทางนี้ ที่เมืองโอดาวาระ จังหวัดคานากาวะ
โทไกโด ชินคันเซ็น ได้เปิดใช้บริการครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2507 (ค.ศ. 1964) ซึ่งทันเวลาสำหรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1964 ณ กรุงโตเกียวพอดี ซึ่งนับว่าประสบความสำเร็จทันทีทีเปิดใช้บริการ โดยมีจำนวนผู้โดยสารถึง 100 ล้านคนในเวลาน้อยกว่า 3 ปีคือวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2510 (ค.ศ. 1967) และยอดผู้โดยสารรวมมีจำนวนถึง 1,000 ล้านคนในปี 1976 และรถไฟขบวนโดยสาร 16 ตู้ก็ได้นำมาจัดแสดงในงานนิทรรศการปี 70 ที่โอซาก้า
รถไฟชินคันเซ็นขบวนแรกวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดถึง 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมง[1] หลังจากนั้นก็เพิ่มเป็น 220 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รถไฟบางขบวนที่มีรูปร่างเป็นหัวกระสุนนั้นยังมีการใช้งานอยู่ในปัจจุบัน และหัวรถจักรคันหนึ่งในจำนวนนี้ปัจจุบันได้นำไปแสดงที่พิพิธภัณฑ์รถไฟแห่งชาติ ที่เมืองยอร์ค สหราชอาณาจักร
[แก้] การต่อขยายเส้นทาง
หลังจากในช่วงแรกประสบความสำเร็จ จึงพร้อมที่จะต่อขยายเส้นทางเดินรถไฟออกไปทางตะวันตก โดยมีจุดหมายไปยังฮิโรชิมาและฟุกุโอะกะ (ซันโย ชินคันเซ็น) จนแล้วเสร็จในปี 1975
คาคุเออิ ทานากะ อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้ให้การสนับสนุนอย่างมาก รัฐบาลชุดนี้ตั้งเป้าว่าจะต่อขยายรางรถไฟที่มีอยู่ให้กลายเป็นรางรถไฟรางคู่ขนานครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ เส้นทางใหม่ 2 แห่งแรกคือ โทโฮคุ ชินคันเซ็น และ โจเอสึ ชินคันเซ็น ทั้งสองเส้นทางนี้สร้างขึ้นตามแผนการของรัฐบาลชุดนี้ หลังจากนั้นแผนการต่อขยายในเส้นทางอื่นๆก็ถูกระงับชั่วคราวหรือถูกยกเลิกไปทั้งหมดขณะที่กิจการรถไฟแห่งชาติเริ่มเข้าสู่ภาวะเป็นหนี้มหาศาลเนื่องจากค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างเครือข่ายชินคันเซ็นทั่วประเทศนั้นเป็นตัวเลขที่สูงมากทีเดียว ในราวทศวรรษที่ 1980 การรถไฟญี่ปุ่นอยู่ในภาวะเกือบจะล้มละลาย จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเป็นหน่วยงานเอกชนในที่สุด เมื่อปี 1987
อย่างไรก็ตาม โครงการพัฒนารถไฟชินคันเซ็นก็ได้ดำเนินการมาโดยตลอด มีต้นแบบรถที่มีลักษณะเฉพาะของแต่ละรุ่นออกมาเสมอ ตอนนี้ รถไฟชินคันเซ็นสามารถทำความเร็วได้ถึง 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก้าวขึ้นมาเทียบเท่ารถไฟความเร็วสูงระดับโลกไม่ว่าจะเป็น TGV ของฝรั่งเศส, TAV ของอิตาลี, AVE ของอิตาลี และ ICE ของเยอรมนี
นอกจากนั้น ตั้งแต่ปี 1970 ญี่ปุ่นยังได้พัฒนาชุโอะ ชินคันเซ็น ซึ่งเป็นรถไฟพลังแม่เหล็ก (แม็กเลฟ) โดยกำหนดว่าจะวิ่งจากโตเกียวไปยังโอซาก้า ในวันที่ 2 ธันวาคม ปี 2003 รถไฟพลังแม่เหล็กขนาดสามตู้รถไฟ ชื่อ JR-Maglev MLX01 ก็สามารถวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดเป็นสถิติโลกของทุกวันนี้ นั่นคือ 581 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
[แก้] สถิติด้านความปลอดภัย
ระหว่างการใช้งานกว่า 40 ปีเต็ม จำนวนยอดผู้โดยสารกว่า 6 ล้านคนมาแล้ว ชินคันเซ็นก็ไม่เคยมีประวัติว่ามีผู้โดยสารเสียชีวิตเนื่องจากรถไฟตกรางหรือรถไฟชนกันเลย (รวมไปถึงอุบัติเหตุแผ่นดินไหวและพายุไต้ฝุ่นด้วย) มีเพียงการบาดเจ็บและการเสียชีวิตจากประตูรถไฟงับผู้โดยสารหรือสัมภาระของผู้โดยสารเท่านั้น เนื่องจากมีเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยอยู่เป็นจำนวนมากที่สถานีเพื่อป้องกันการเกิดเหตุร้ายขึ้น อย่างไรก็ตาม ก็เคยมีประวัติผู้โดยสารฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดลงไปในรางขณะที่รถไฟกำลังเทียบชานชาลาหรือกระโดดออกจากรถไฟก่อนที่รถไฟจะจอด
ชินคันเซ็นช่วงที่กำลังรับส่งผู้โดยสารนั้นเคยตกรางเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเกิดแผ่นดินไหวชูเอ็ทสุ เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม ค.ศ. 2004 โบกี้โดยสารจำนวน 8 โบกี้จากทั้งหมด 10 โบกี้ของรถไฟหมายเลข 325 สายโจเอ็ทสุ ชินคันเซ็นตกรางใกล้ๆกับสถานีนากาโอกะ ในเมืองนากาโนกะ จังหวัดนีงะตะ แต่ผู้โดยสารทั้ง 154 คนไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตแต่อย่างใด[1]PDF (43.8 KiB) ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวนั้น ระบบตรวจจับแผ่นดินไหวสามารถสั่งการให้รถไฟหยุดได้อย่างรวดเร็ว
[แก้] ชินคันเซ็นในอนาคต
ปัญหาอย่างหนึ่งของชินคันเซ็นคือ ยิ่งเพิ่มความเร็วมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้มีมลพิษทางเสียงมากขึ้นและแก้ไขได้ยากขึ้นอีกด้วย การศึกษาวิจัยในปัจจุบันจึงมุ่งเน้นในเรื่องการลดเสียงดังที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เสียงที่เกิดขึ้นในอุโมงค์ หรือ tunnel boom อันเกิดจากการที่รถไฟวิ่งออกจากอุโมงค์ด้วยความเร็วสูง
การรถไฟแห่งญี่ปุ่นสายตะวันออกได้ประกาศว่ารถไฟขบวนใหม่สามารถวิ่งได้ด้วยความเร็วถึง 320 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และจะนำมาใช้ในการเปิดตัวโทโฮคุ ชินคันเซ็น ซึ่งเป็นส่วนต่อขยายจากฮาชิโนะเฮะไปยังชินอาโอโมริในช่วงต้นปี 2011 แต่จากการทดลองวิ่งรถไฟ Fastech 360 พบว่า ที่ความเร็ว 360 กิโลเมตรต่อชั่วโมงนั้นยังมีปัญหาอยู่ที่มลพิษทางเสียง สายส่งเหนือรถไฟ และระยะหยุดรถ ซึ่งอาจจะเป็นข้อจำกัดของการเทคโนโลยีชินคันเซ็นในปัจจุบันก็ว่าได้ ในที่สุด ก็มีการนำเอาเทคโนโลยีรถไฟพลังแม่เหล็กหรือเทคโนโลยีอื่นมาทดแทน หากสามารถวิ่งได้ด้วยความเร็ว 320 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจากอัตซูโนะมิยะไปยังชินอาโอโมริแล้วก็จะทำให้สามารถเดินทางจากโตเกียวไปยังชินอาโอโมริได้โดยใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงเท่านั้น (ระยะทางประมาณ 675 กิโลเมตรหรือ 419 ไมล์)
คิวชู ชินคันเซ็น จากคาโกชิมาไปยัตสุชิโรเปิดใช้เมื่อเดือนมีนาคม ปี 2004 มีการวางแผนว่าจะต่อขยายออกไปอีก 3 เส้นทางและจะเปิดใช้ในปี 2010 นอกจากนั้นยังมีการวางโครงการระยะยาวในการต่อขยายเครือข่าย ฮอกไกโด ชินคันเซ็น จากฮาโกะดาเตะไปยังซัปโปะโระ, คิวชู ชินคันเซ็นไปยังนางาซากิ และจะเชื่อมระหว่างคานากาวะกลับไปยังโอซาก้า แม้จะดูเหมือนว่าจะไม่มีโครงการใดเสร็จทันปี 2020 ก็ตาม นอกจากนั้น ผู้บริหารของการรถไฟแห่งญี่ปุ่นสายกลางก็ได้ประกาศแผนการที่จะสร้างรถไฟพลังแม่เหล็ก ชูโอะ ชินคันเซ็น ให้สามารถเดินทางจากโตเกียวไปยังนาโงยาภายในเวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมงให้ได้ (ระยะทางประมาณ 366 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ภายในปี 2025
โครงการ นาริตะ ชินคันเซ็น เพื่อสร้างการเชื่อมต่อกับท่าอากาศยานนานาชาตินาริตะ โดยโครงการนี้ริเริ่มมาตั้งแต่ทศวรรษ 1970 แต่ก็ล้มเลิกไปในปี 1983 เพราะถูกต่อต้านจากเจ้าของที่ดินจ้าวเก่า แต่ได้ยกเลิกอย่างเป็นทางการและถอนออกจากโครงการพื้นฐานของรัฐบาลด้านโครงสร้างของชินคันเซ็นไป แต่โครงการใหม่คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2010 นี้
[แก้] รายชื่อเส้นทางเดินรถไฟชินคันเซ็น
เส้นทางหลัก ได้แก่
สาย | สถานีต้นทาง | สถานีปลายทาง | ระยะ | ระยะให้บริการ | ผู้บริหาร |
---|---|---|---|---|---|
โทไกโด ชินคันเซ็น | สถานีโตเกียว | สถานีชินโอซะกะ | 515.4 km | 552.6 km | JR โตไก (กลาง) |
ซันโย ชินคันเซ็น | สถานีชินโอซะกะ | สถานีฮะกะตะ | 553.7 km | 644.0 km | JR ญี่ปุ่นตะวันตก |
โทโฮะกุ ชินคันเซ็น | สถานีโตเกียว | สถานียะโดะ | 593.1 km | 631.9 km | JR ญี่ปุ่นตะวันออก |
โจเอะสึ ชินคันเซ็น | สถานีโอมิยะ | สถานีนีงะตะ | 269.5 km | 303.6 km | |
โฮะกุริกุ ชินคันเซ็น | สถานีทะกะซะกิ | สถานีนะงะโนะ | 117.4 km | 117.4 km | |
คีวชู ชินคันเซ็น | สถานีชินฮะจิได | สถานีคะโงะชิมะกลาง | 126.8 km | 137.6 km | JR คีวชู |
ในอนาคตจะเปิดอีกสองเส้นทางหลัก ที่รู้จักกันดีในชื่อ มินิชินคันเซ็น ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ได้แก่
และยังมีทางรถไฟอีกสองรางขนาดมาตรฐานที่ไม่จัดว่าเป็นเส้นทางของชินคันเซ็นแต่ก็มีการให้บริการชินคันเซ็นอยู่ ได้แก่
- สาย ฮะกะตะ มินะมิ (ฮะกะตะ - ฮะกะตะ-มินะมิ)
- สาย กะละยูซะวะ เป็นสาขาของสายโจเอะสึ (เอะชิโกะยูซะวะ - กะละยูซะวะ)
[แก้] เส้นทางในอนาคต
ยังมีอีกหลายเส้นทางชินคันเซ็นที่มีกำหนดว่าจะสร้างขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 1970 ที่ชินคันเซ็นได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เส้นทางเหล่านี้มีชื่อเรียกว่า เซะอิบิ ชินคันเซ็น หรือ "ชินคันเซ็นที่วางโครงการไว้แล้ว" (planned Shinkansen) หนึ่งในเส้นทางเหล่านี้คือ นาริตะ ชินคันเซ็น ที่จะเชื่อมต่อไปยังท่าอากาศยานนานาชาตินาริตะ แต่ก็มีการยกเลิกไป ถึงกระนั้นก็ยังมีบ้างส่วนที่กำลังดำเนินการก่อสร้างอยู่ ได้แก่
- โทโฮะกุ ชินคันเซ็น ต่อขยายจาก สถานีฮะชิโนะเฮะ ไปยัง ชินอาโอะโมะริ กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างและจะเปิดใช้บริการในปี 2010
- โฮะกุริกุ ชินคันเซ็น ต่อขยายไปยังคะนะซะวะ กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างและจะเปิดใช้บริการในปี 2014
- คีวชู ชินคันเซ็น ต่อขยายไปยังฮะกะตะ กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างและจะเปิดใช้บริการในปี 2010
- คีวชู ชินคันเซ็น สายที่ 2 เชื่อมต่อจากชินโทะสุไปยังนะงะซะกิ กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง
- ฮกไกโด ชินคันเซ็น เชื่อมต่อจากชินอาโอะโมะริไปยังชินฮะโกะดะเตะ กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างและจะเปิดใช้บริการในปี 2015 และจะมีการต่อขยายเพิ่มเติมในอนาคตจากชินฮะโกะดะเตะไปยังซัปโปะโระ ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างเช่นกัน
[แก้] เทคโนโลยีชินคันเซ็นในต่างประเทศ
รถไฟที่ใช้เทคโนโลยีของชินคันเซ็นไม่ได้มีแค่ในญี่ปุ่นเท่านั้น
- รถไฟความเร็วสูงไต้หวัน วิ่งด้วยรถไฟซีรีส์ 700T ดำเนินการโดยบริษัทอุตสาหกรรมหนักคะวะซะกิ
- ประเทศจีน นำเข้ารถไฟที่มีความเร็ว 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขนาด 8 โบกี้จำนวน 60 ขบวน ซึ่งเป็นรถไฟซีรีส์ E2-1000 ชื่อว่า CRH -2
- Class 395 สร้างด้วยเทคโนโลยีของชินคันเซ็นโดยบริษัทฮิตาชิ นำไปให้บริการเป็นรถไฟความเร็วสูงสาย 1 ในสหราชอาณาจักร
[แก้] รายชื่อต้นแบบรถไฟชินคันเซ็น
รถไฟชินคันเซ็นสามารถพ่วงได้ยาวถึง 16 โบกี้ แต่ละโบกี้มีความยาว 25 เมตร และรถไฟชินคันเซ็นที่ยาวที่สุดมีความยาว 400 เมตรวัดจากหัวขบวนถึงท้ายขบวน สถานีรถไฟจึงต้องมีความยาวเพียงพอสำหรับรถไฟชินคันเซ็นเหล่านี้ด้วย
- รถไฟโดยสาร
- ซีรีส์ 0
- ซีรีส์ 100
- ซีรีส์ 200
- ซีรีส์ 300
- ซีรีส์ 400 (มินิชินคันเซ็น)
- ซีรีส์ 500
- ซีรีส์ 700
- ซีรีส์ 700T (รถไฟความเร็วสูงของไต้หวัน หรือ ไต้หวัน ชินคันเซ็น)
- ซีรีส์ N700
- ซีรีส์ 800
- ซีรีส์ E1 (สูงสุด)
- ซีรีส์ E2
- ซีรีส์ E3 (มินิชินคันเซ็น)
- ซีรีส์ E4 (สูงสุด)
- รถไฟทดลองวิ่ง
- ประเภท 1000
- ประเภท 951
- ประเภท 961
- ประเภท 962
- ประเภท 500-900 (WIN 350)
- ประเภท 952/953 (STAR 21)
- ประเภท 955 (300X)
- ประเภท E954 (FASTECH 360 S)
- ประเภท E955 (FASTECH 360 Z) (มินิชินคันเซ็น)
- รถไฟรางแม่เหล็ก
- LSM200 - 1972
- ML100 - 1972
- ML100A - 1975
- ML-500 - 1977
- ML-500R - 1979
- MLU001 - 1981
- MLU002 - 1987
- MLU002N - 1993
- MLX01 - 1996
- MLX01-901 - 2002
[แก้] สถิติความเร็ว
กิโลเมตรต่อชั่วโมง (ไมล์ต่อชั่วโมง) |
รถไฟ | สถานที่ | วันที่ | หมายเหตุ |
---|---|---|---|---|
200 (124.3) | ชินคันเซ็น ประเภท 1000 | รางทดสอบโอะดะวะระ ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของโทไกโด ชินคันเซ็น | 31 ตุลาคม ค.ศ. 1962 | |
256 (159.1) | ชินคันเซ็น ประเภท 1000 | รางทดสอบโอะดะวะระ | 30 มีนาคม ค.ศ. 1963 | เคยเป็นสถิติโลก |
286 (177.7) | ชินคันเซ็น ประเภท 951 | ซันโย ชินคันเซ็น | 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1972 | เคยเป็นสถิติโลก |
319.0 (198.2) | ชินคันเซ็น ประเภท 961 | รางทดสอบโอยะมะ ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ โทโฮะกุ ชินคันเซ็น | 7 ธันวาคม ค.ศ. 1979 | เคยเป็นสถิติโลก |
325.7 (202.4) | ชินคันเซ็น ซีรีส์ 300 รุ่นทดสอบ | โทไกโด ชินคันเซ็น | 28 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1991 | |
352.0 (218.7) | คลาส 952/953 รุ่นทดสอบ | โจเอะสึ ชินคันเซ็น | 30 ตุลาคม ค.ศ. 1992 | |
425.0 (264.1) | คลาส 952/953 รุ่นทดสอบ | โจเอะสึ ชินคันเซ็น | 21 ธันวาคม ค.ศ. 1993 | |
426.6 (265.1) | คลาส 955 (300X) รุ่นทดสอบ | โทไกโด ชินคันเซ็น | 11 กรกฎาคม ค.ศ. 1996 | |
443.0 (275.3) | คลาส 955 (300X) รุ่นทดสอบ | โทไกโด ชินคันเซ็น | 26 กรกฎาคม ค.ศ. 1996 |
[แก้] รวมภาพชินคันเซ็น
[แก้] อ้างอิง