ประเทศซาอุดีอาระเบีย
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
المملكة العربية السعودية Al-Mamlaka al-ʻArabiyya as-Saʻūdiyya อัลมัมละกะหฺ อัลอะรอบียะหฺ อัสซะอูดียะหฺ ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย
|
||||||
---|---|---|---|---|---|---|
|
||||||
คำขวัญ: لا إله إلا الله محمد رسول الله (อารบิก) "ลา อิลาหะ อิลลัลลอหฺ มุฮัมมะดุร รอซูลุลลอหฺ (ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอหฺ และมุฮัมมัดเป็นศาสนทูตของอัลลอหฺ) |
||||||
เพลงชาติ: "อาชะ อัลมะลิก (กษัตริย์จงเจริญ) |
||||||
เมืองหลวง (และเมืองใหญ่สุด) |
ริยาด
|
|||||
ภาษาทางการ | ภาษาอาหรับ | |||||
รัฐบาล | สมบูรณาญาสิทธิราชย์ | |||||
- | พระมหากษัตริย์ | สมเด็จพระราชาธิบดี อับดุลลอห์ บินอับดิลอะซีซ อัสสะอูด | ||||
Establishment | ||||||
- | Kingdom declared | 8 มกราคม พ.ศ. 2469 | ||||
- | Recognized | 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2470 | ||||
- | รวมประเทศ | 23 กันยายน พ.ศ. 2475 | ||||
เนื้อที่ | ||||||
- | ทั้งหมด | 2,149,690 กม.² (ลำดับที่ 14) | ||||
- | พื้นน้ำ (%) | น้อยมาก | ||||
ประชากร | ||||||
- | 2007 ประมาณ | 27,601,038 (อันดับที่ 45) | ||||
- | ความหนาแน่น | 11/กม.² (อันดับที่ 205) | ||||
GDP (PPP) | 2007 ประมาณ | |||||
- | รวม | $446 พันล้าน (อันดับที่ 27) | ||||
- | ต่อประชากร | $21,200 (อันดับที่ 41) | ||||
HDI (2004) | 0.777 (ปานกลาง) (อันดับที่ 76) | |||||
สกุลเงิน | ริยัล (SAR ) |
|||||
เขตเวลา | AST (UTC+3) | |||||
- | ฤดูร้อน (DST) | (ไม่มี) (UTC+3) | ||||
รหัสอินเทอร์เน็ต | .sa | |||||
รหัสโทรศัพท์ | +966 | |||||
1 | ประชากรประมาณ 5,576,076 | |||||
2 | อันดับจากค่าในปี 2548 |
ประเทศซาอุดีอาระเบีย หรือ ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย เป็นประเทศบนคาบสมุทรอาหรับ มีพรมแดนติดกับประเทศอิรัก จอร์แดน คูเวต โอมาน กาตาร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเยเมน ติดอ่าวเปอร์เซียทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และทะเลแดงทางทิศตะวันตก
เนื้อหา |
[แก้] ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ประเทศซาอุดีอาระเบียเริ่มขึ้นประมาณปี 1850 ในใจกลางคาบสมุทรอาระเบีย เมื่อ มุฮัมมัด บินสะอูด ผู้นำท้องถิ่นได้ร่วมมือกันกับ มุฮัมมัด บินอับดุลวะฮาบ ผู้นำลัทธิวะฮาบีย์ ก่อตั้งอาณาจักรใหม่ขึ้นมา เรียกว่า ราชอาณาจักรซาอุดีแรก โดยแยกออกจากอาณาจักรออตโตมัน แต่ประเทศที่เป็นซาอุดีอาระเบียในปัจจุบันนั้นสถาปนาขึ้นเป็นครั้งที่สองโดยกษัตริย์อับดุลอะซีซ อาลสะอูด (หรือเป็นที่รู้จักกันดีในนามของ อิบนุสะอูด) ในปี 1902 อิบนุสะอูด ได้ยึดริยาดซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าแก่ของราชวงศ์สะอูด คืนมาจากตระกูลอัลรอชีด ซึ่งเป็นศัตรูคู่แข่งของราชวงศ์สะอูด ต่อจากนั้น ก็ได้กรีฑาทัพเข้ายึดแคว้นต่าง ๆ มาได้ ได้แก่ อัลฮะสาอ์, นะญัด และ ฮิญาซ อันเป็นที่ตั้งของนครมักกะหฺ และ นครมะดีนะหฺ ในปี 1932 อิบนุสะอูด ได้ทำการรวมประเทศขึ้นเป็นราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย
การเจรจาทำสนธิสัญญาแบ่งเส้นเขตแดนระหว่างซาอุดีอาระเบียกับจอร์แดน อิรัก และคูเวต มีขึ้นช่วงทศวรรษ 1920 และได้มีการจัดตั้ง "neutral zones" ขึ้นด้วยกัน 2 เขตคือระหว่างซาอุดีอาระเบีย กับอิรัก และซาอุดีอาระเบีย กับคูเวต ในปี 1971 ได้มีการแบ่งเขตเป็นกลางระหว่างซาอุดีอาระเบีย และคูเวต โดยให้แต่ละฝ่ายแบ่งทรัพยากรน้ำมันกันอย่างเท่าเทียมกัน ส่วนการแบ่งขตเป็นกลางระหว่างซาอุดีอาระเบีย กับอิรักได้เสร็จสิ้นลงในปี 1983 ทางด้านเขตแดนตอนใต้ที่ติดกับเยเมนนั้น มีการเจรจาแบ่งเขตแดนโดยสนธิสัญญาฏออิฟ ในปี 1934 (พ.ศ. 2477) แต่ก็สิ้นสุดลงด้วยการสู้รบระหว่างสองประเทศ จนกระทั่งปัจจุบันนี้ เขตแดนระหว่างซาอุดีอาระเบีย และเยเมนในบางพื้นที่ก็ยังมิได้แบ่งลงไปอย่างแน่ชัด ส่วนเขตแดนที่ติดกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์นั้นสามารถตกลงกันได้ในปี 1974 สำหรับเขตแดนกับกาตาร์นั้นยังเป็นปัญหาอยู่
อิบนุสะอูด สิ้นพระชนม์ในปี 1953 และพระราชโอรสองค์โตคือเจ้าชายสะอูด ได้ขึ้นครองราชย์ต่อมาอีก 11 ปี ในปี 1964 กษัตริย์สะอูด ได้สละราชสมบัติให้กับเจ้าชายฟัยศอล ซึ่งเป็นน้องชายต่างมารดาและดำรงตำแหน่ง รมว.กต.อยู่ด้วย กษัตริย์ฟัยศอล เป็นบุคคลสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจของซาอุดีอาระเบียพัฒนาไปสู่ระบบที่ทันสมัย
ซาอุดีอาระเบีย มิได้ส่งกำลังทหารเข้าร่วมรบในสงครามหกวันระหว่างอาหรับและอิสราเอล แต่ได้ให้เงินช่วยเหลือรายปีแก่อียิปต์ จอร์แยเหลือเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้ ในช่วงสงครามอาหรับ-อิสราเอล ปี 1973 ซาอุดีอาระเบีย ได้เข้าร่วมการคว่ำบาตรทางน้ำมันต่อสหรัฐอเมริกา และเนเธอร์แลนด์ ในฐานะสมาชิกของ โอเปก (OPEC) ซาอุดีอาระเบีย ได้ร่วมกับประเทศสมาชิกอื่นๆ ขึ้นราคาน้ำมันในปี 1971 ภายหลังสงครามปี 1973 ราคาน้ำมันได้พุ่งสูงขึ้นอย่างมากนำความมั่งคั่งและอิทธิพลทางการเมืองมาสู่ซาอุดีอาระเบีย ในปี 1975 กษัตริย์ฟัยศอล ถูกลอบสังหารโดยหลานชายของพระองค์เอง เจ้าชายคอลิด พระอนุชาต่างมารดาได้ขึ้นเป็นกษัตริงค์ต่อมาและยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย กษัตริย์คอลิด ได้แต่งตั้งเจ้าชายฟะหัด น้องชายต่างมารดาของพระองค์เป็นมกุฎราชกุมาร และมอบหมายให้มีอำนาจให้ดูแลกิจการภายในประเทศและต่างประเทศ ในรัชสมัยของ กษัตริย์คอลิด เศรษฐกิจของซาอุดีอาระเบีย ได้มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็วและซาอุดีอาระเบีย ได้มีบทบาทสำคัญมากขึ้นในเวทีการเมืองในภูมิภาคและในเวทีเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ในปี 1982 กษัติรย์ฟะหัด ได้ขึ้นครองราชย์และดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน กษัตริย์คอลิด ซึ่งสิ้นพระชนม์ลง กษัติรย์ฟะหัด ได้แต่งตั้งเจ้าชายอับดุลลอหฺ น้องชายต่างมารดาซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการ Saudi National Guard ขึ้นเป็นมกุฎราชกุมาร ส่วนเจ้าชาย Sultan รัฐมนตรีกลาโหมซึ่งเป็นน้องชายแท้ๆ ของ King Fahad ได้รับแต่งตั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรีคนที่สอง
ภายใต้รัชสมัยของพระราชาธิบดีฟาฮัดเศรษฐกิจของซาอุดีอาระเบีย ได้ปรับสภาพให้เข้ากับรายได้จากน้ำมันซึ่งมีราคาตกต่ำลงอย่างมากอันสืบเนื่องมาจากราคาน้ำมันในตลาดโลกซึ่งตกต่ำลงในช่วงสงครามอิรัก-อิหร่าน ซาอุดีอาระเบีย เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการให้มีการหยุดยิงระหว่างอิรัก-อิหร่านในปี 1988 และในการก่อตั้งคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (GCC) ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศรัฐริมอ่าว 6 ประเทศ
ในระหว่างปี 1990-1991 พระราชาธิบดีฯ มีบทบาทสำคัญทั้งก่อนหน้าและระหว่างสงครามอ่าว (Gulf War) โดยพระองค์ได้ช่วยเป็นจุดศูนย์กลางในการระดมความสนับสนุนความช่วยเหลือ และได้ใช้อิทธิพลของพระองค์ในฐานะผู้พิทักษ์มัสญิดต้องห้ามอันศักดิ์สิทธิ์ทั้งสอง ชักชวนให้ประเทศอาหรับและอิสลามเข้าร่วมในกองกำลังผสม
[แก้] การเมือง
ก่อนหน้าปี 2534 ซาอุดีอาระเบีย ใช้กฎหมายอิสลามเป็นหลักในการปกครองประเทศโดยพระมหากษัตริย์ มีอำนาจเด็ดขาดและสูงสุดในการบริหารประเทศ ต่อมาหลังจากวิกฤตการณ์อิรัก-คูเวต ได้มีความเคลื่อนไหวจากประชาชนบางส่วนให้มีการพัฒนารูปแบบการปกครองให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมด้วย พระราชาธิบดีฯ จึงได้วางรูปแบบการปกครองอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นครั้งแรก โดยประกาศใช้พระราชกฤษฎีกา 3 ฉบับ เมื่อเดือนมีนาคม 2534 กฎหมายดังกล่าวระบุว่า การปกครองเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช พระมหากษัตริย์ มีอำนาจสูงสุด เป็นผู้แต่งตั้งและเพิกถอนครม. และสภาที่ปรึกษา (Shura) สภาที่ปรึกษานี้ถือเป็นพัฒนาการใหม่ของซาอุดีอาระเบีย ทีเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปเข้ามามีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ แต่ก็เป็นเพียงในฐานะที่ปรึกษาเท่านั้น มิใช่สภานิติบัญญัติเช่นประเทศอื่นๆ แม้ว่าในทางกฎหมายพระราชาธิบดีฯ มีอำนาจสิทธิขาดในปกครองประเทศ แต่ในทางปฏิบัติ พระราชาธิบดีฯ จะใช้วิธีดำเนินนโยบายที่ได้รับความเห็นชอบร่วมกัน (consensus) จากกลุ่มต่างๆ ในประเทศ อาทิ ประชาชน ฝ่ายศาสนา ทหาร ราชวงศ์ และนักธุรกิจ
[แก้] การแบ่งเขตการปกครอง
ซาอุดีอาระเบียแบ่งการปกครองเป็น 13 เขตการปกครอง (mintaqah (มินฏอเกาะห์) (เอกพจน์) , mintaqat [มินฏอกอต] (พหูพจน์))
- อัลบาฮะหฺ (Al Bahah)
- อัลฮุดูด อัช ชะมาลียะหฺ (Al Hudud ash Shamaliyah)
- อัลเญาฟุ (Al Jawf)
- อัลมะดีนะหฺ (Al Madinah)
- อัลกอซิม (Al Qasim)
- อัรริยาด (Ar Riyad)
- อัชชัรกิยะหฺ (Ash Sharqiyah, Eastern Province)
- อะซีร์ ('Asir)
- ฮาอิล (Ha'il)
- ญีซาน (Jizan)
- มักกะหฺ (Makkah)
- นัจญ์รอน (Najran)
- ตะบูก (Tabuk)
[แก้] ภูมิศาสตร์
ประเทศซาอุดีอาระเบียตั้งอยู่ในภูมิภาคตะวันออกกลาง ทิศเหนือติดอิรักและจอร์แดน ทิศตะวันออกติด คูเวต กาตาร์ บาห์เรน ทิศตะวันตก อียิปต์ ทิศใต้ติดเยเมน ติดอ่าวอาหรับ (อ่าวเปอร์เซีย)
[แก้] เศรษฐกิจ
ซาอุดีอาระเบีย มีปริมาณน้ำมันสำรองมากที่สุดในโลก คิดเป็นประมาณ 260 พันล้านบาร์เรลหรือประมาณเศษหนึ่งส่วนสี่ของปริมาณน้ำมันสำรองของโลก โดยที่รายรับของประเทศประมาณ 2 ใน 3 มาจากการส่งออกน้ำมัน เศรษฐกิจของซาอุดีอาระเบีย จึงขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันโลกค่อนข้างมาก ในช่วงหลังสงครามอิรัก-คูเวต ภาระค่าใช้จ่ายในระหว่างวิกฤตการณ์อ่าวเปอร์เซียประกอบกับรายได้ที่ลดลงจากการตกต่ำของราคาน้ำมัน และรายจ่ายภาครัฐบาลซึ่งส่วนใหญ่เป็นการซื้ออาวุธ ทำให้ซาอุดีอาระเบีย เผชิญปัญหาขาดดุลงบประมาณติดต่อกัน อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจโดยรวมของซาอุดีอาระเบีย ยังอยู่ในสภาพที่มั่นคง การลงทุนภาคเอกชนมีมากขึ้น ความพยายามในการกระจายรายรับโดยการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ไม่ใช่น้ำมันเริ่มประสบผลสำเร็จ
ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในต่อหัว (Per Capita Gross Domestic Product GDP Per Capita) ของซาอุดีอาระเบีย มีแนวโน้มลดลงตั้งแต่ทศวรรษที่ 1980 เป็นต้นมาเนื่องจากอัตราเพิ่มของประชากรมีมากกว่าอัตราความเจริญทางเศรษฐกิจ
[แก้] ประชากร
ประเทศซาอุดีอาระเบียนั้นมีประชากรประมาณ 27 ล้านคน
[แก้] วัฒนธรรม
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยวิกิพีเดียไทยได้โดยการเพิ่มเติมข้อมูลในส่วนนี้ |
[แก้] ดูเพิ่ม
[แก้] อ้างอิง
- ประเทศซาอุดีอาระเบีย จากเว็บไซต์กระทรวงต่างประเทศ
|
|
|