ฝ่ายสัมพันธมิตร
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
- "ฝ่ายสัมพันธมิตร" ในบทความนี้หมายถึง ฝ่ายพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สอง สำหรับความหมายอื่น ดูที่ พันธมิตร
ฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สอง (อังกฤษ: Allies of World War II) คือ กลุ่มประเทศที่ต่อสู้กับฝ่ายอักษะ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งสหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียตและสหราชอาณาจักร ถือได้ว่าเป็น "สามผู้ยิ่งใหญ่" (อังกฤษ: The Big Three) และประธานาธิบดี แฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ ได้ถือเอาสามผู้ยิ่งใหญ่และประเทศจีน รวมกันเป็น "ตำรวจสี่นาย" (อังกฤษ: Four Policemen)[1]
ช่วงเวลาระหว่างเดือนธันวาคม ค.ศ. 1941 โรสเวลต์ได้ตกลงใช้ชื่อ "สหประชาชาติ" สำหรับประเทศฝ่ายสัมพันธมิตร และแถลงการณ์ของสหประชาชาติในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1942 ได้กลายมาเป็นรากฐานของสหประชาชาติในปัจจุบัน[2]
เนื้อหา |
[แก้] การเข้าร่วมของประเทศสมาชิก
[แก้] ตามช่วงเวลาการรุกรานโปแลนด์
ดูบทความเพิ่มเติมได้ที่ การรุกรานโปแลนด์ (1939)
- โปแลนด์: 1 กันยายน ค.ศ. 1939
- ออสเตรเลีย: 3 กันยายน ค.ศ. 1939
- ฝรั่งเศส: 3 กันยายน ค.ศ. 1939 รวมไปถึง:
- นิวซีแลนด์: 3 กันยายน ค.ศ. 1939
- สหราชอาณาจักร: 3 กันยายน ค.ศ. 1939 รวมไปถึง:
- นิวฟันด์แลนด์: 4 กันยายน ค.ศ. 1939
- เนปาล: 4 กันยายน ค.ศ. 1939
- สหภาพแอฟริกาใต้: 6 กันยายน ค.ศ. 1939
- แคนาดา: 10 กันยายน ค.ศ. 1939
- เชโกสโลวาเกีย (รัฐบาลพลัดถิ่น): 2 ตุลาคม ค.ศ. 1939
[แก้] ระหว่างและหลังสงครามลวง
ดูบทความเพิ่มเติมได้ที่ สงครามลวง
- นอร์เวย์: 9 เมษายน ค.ศ. 1940 (แต่ยังไม่มีความร่วมมือกับฝ่ายสัมพันธมิตรจนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1941
- เดนมาร์ก: 9 เมษายน ค.ศ. 1940 (วางตัวเป็นกลางในสงครามโลกครั้งที่สองจนกระทั่ง 29 สิงหาคม ค.ศ. 1943)
- เบลเยียม: 10 พฤษภาคม ค.ศ. 1940, รวมไปถึง:
- ลักเซมเบิร์ก: 10 พฤษภาคม ค.ศ. 1940
- เนเธอร์แลนด์: 10 พฤษภาคม ค.ศ. 1940, รวมไปถึง:
- กองทัพเสรีฝรั่งเศส: 18 มิถุนายน ค.ศ. 1940
- กรีซ: 28 ตุลาคม ค.ศ. 1940
- / ยูโกสลาเวีย: 6 เมษายน ค.ศ. 1941
[แก้] หลังจากการรุกรานสหภาพโซเวียต
ดูบทความเพิ่มเติมได้ที่ ปฏิบัติการบาร์บารอสซา
- สหภาพโซเวียต: 22 มิถุนายน 1941
- ตันนู ตูวา: 25 มิถุนายน 1941 (ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียตในปี 1944)
- มองโกเลีย: 9 สิงหาคม 1941
[แก้] หลังจากการโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์
ดูบทความเพิ่มเติมได้ที่ การโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์
- ปานามา: 7 ธันวาคม 1941
- สหรัฐอเมริกา: 8 ธันวาคม 1941 รวมไปถึง:
- คอสตาริกา: 8 ธันวาคม 1941
- สาธารณรัฐโดมินิกัน: 8 ธันวาคม 1941
- เอลซัลวาดอร์: 8 ธันวาคม 1941
- เฮติ: 8 ธันวาคม 1941
- ฮอนดูรัส: 8 ธันวาคม 1941
- นิการากัว: 8 ธันวาคม 1941
- สาธารณรัฐจีน : 9 ธันวาคม 1941 (ทำสงครามกับจักรวรรดิญี่ปุ่นมาตั้งแต่ ค.ศ. 1937)
- เครือจักรภพฟิลิปปินส์: 9 ธันวาคม 1941
- กัวเตมาลา: 9 ธันวาคม 1941
- คิวบา: 9 ธันวาคม 1941
[แก้] หลังจากประกาศก่อตั้งสหประชาชาติ
ดูบทความเพิ่มเติมได้ที่ ปฏิญญาก่อตั้งสหประชาชาติ
- เม็กซิโก: 22 พฤษภาคม 1942
- บราซิล: 22 สิงหาคม 1942
- เอธิโอเปีย: 14 ธันวาคม 1942 (ก่อนหน้านั้นอยู่ภายใต้การยึดครองของ อิตาลี)
- อิรัก: 17 มกราคม 1943 (ถูกยึกครองโดยกองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรตั้งแต่ปี ค.ศ. 1941)
- โบลิเวีย: 7 เมษายน 1943
- โคลอมเบีย: 26 กรกฎาคม 1943
- อิหร่าน: 9 กันยายน 1943 (ถูกยึกครองโดยกองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรตั้งแต่ปี ค.ศ. 1941)
- ยูโกสลาเวีย: 1 ธันวาคม 1943[3]
- ไลบีเรีย: 27 มกราคม 1944
- เปรู: 12 กุมภาพันธ์ 1944
- อิตาลี: หลังจากการจับกุมตัว เบนิโต มุสโสลินี ในปี ค.ศ. 1943 อิตาลีตอนเหนืออยู่ภายใต้การยึดครองของนาซีเยอรมนี ขณะที่ดินแดนที่เหลือทางตอนใต้อยู่ภายใต้การปกครองของพระเจ้าวิกเตอร์ อิมมานูเอลที่ 3 ซึ่งนำประเทศเข้ากับฝ่ายสัมพันธมิตร และต่อสู้กับฝ่ายอักษะ
[แก้] หลังจากปฏิบัติการบากราติออนและวันดีเดย์
ดูบทความเพิ่มเติมได้ที่ ปฏิบัติการบากราติออน และ ปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด
- โรมาเนีย: 23 สิงหาคม 1944 (เคยอยู่ฝ่ายอักษะมาก่อน)
- บัลแกเรีย: 8 กันยายน 1944 (เคยอยู่ฝ่ายอักษะมาก่อน)
- ซานมารีโน: 21 กันยายน 1944 (เคยอยู่ฝ่ายอักษะมาก่อน)
- อัลเบเนีย: 26 ตุลาคม 1944 (เคยตกอยู่ภายใต้การยึดครองของ อิตาลี และนาซีเยอรมนี)
- เอกวาดอร์: 2 กุมภาพันธ์ 1945 (แต่ว่าเคยให้ความช่วยเหลือฝ่ายสัมพันธมิตรมาแล้วตั้งแต่ปี ค.ศ. 1943 ในการป้องกัน เกาะกาลาปากอส)
- ปารากวัย: 7 กุมภาพันธ์ 1945
- อุรุกวัย: 15 กุมภาพันธ์ 1945
- เวเนซุเอลา: 15 กุมภาพันธ์ 1945
- ตุรกี: 23 กุมภาพันธ์ 1945
- อียิปต์: 27 กุมภาพันธ์ 1945
- เลบานอน: 27 กุมภาพันธ์ 1945
- ซีเรีย: 27 กุมภาพันธ์ 1945
- ซาอุดีอาระเบีย: 1 มีนาคม 1945
- อาร์เจนตินา: 27 มีนาคม 1945
- ชิลี: 11 เมษายน 1945
[แก้] ประวัติ
[แก้] จีน
-
ดูบทความหลักที่ สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง
ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1920 รัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋งนำโดยจอมทัพเจียง ไคเช็คซึ่งได้รับการช่วยเหลือจากสหภาพโซเวียต และยังได้มีการช่วยเหลือการปรับปรุงภายในพรรคในเป็นไปตามแนวคิดลัทธิเลนิน อันประกอบด้วยการผสมกันอย่างลงตัวระหว่างพรรค รัฐและกองทัพ อย่างไรก็ตาม หลังจากการประกาศรวมชาติเมื่อปี ค.ศ. 1928 เจียง ไคเช็คได้กวาดล้างเอานักการเมืองหัวเอียงซ้ายออกจากพรรคและต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์จีน ขุนศึกในอดีตและฝ่ายอื่น ๆ ประเทศจีนในเวลานั้นมีความขัดแย้งกันและเปิดโอกาสให้ญี่ปุ่นกลืนกินดินแดนทีละน้อยโดยไม่สูญเสียกำลังทหารมากนัก จากเหตุการณ์กรณีมุกเดนในปี ค.ศ. 1931 นำไปสู่การจัดตั้งแมนจูกัว แต่รัฐบาลจีนยังคงมุ่งความสนใจไปยังการกำจัดพรรคคอมมิวนิสต์และขุนศึกต่อไป โดยแบ่งกองทัพเพียงส่วนน้อยมาทำการรบเพื่อต้านทานกองทัพญี่ปุ่น
ในช่วงต้นของคริสต์ทศวรรษ 1930 เยอรมนีและจีนได้ให้ความร่วมมือระหว่างกันทางทหารและอุตสาหกรรม โดยนาซีเยอรมนีได้กลายมาเป็นคู่ค้าอาวุธและวิทยาการรายใหญ่ของจีน หลังจากเหตุการณ์สะพานมาร์โค โปโล เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 1937 จีนและญี่ปุ่นจึงเข้าสู่การทำสงครามเบ็ดเสร็จ ซึ่งดำเนินต่อไปจนกระทั่งยุติลงในปี ค.ศ. 1945 สหภาพโซเวียตต้องการให้จีนต่อสู้กับญี่ปุ่น จึงให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่จีนจนถึงปี ค.ศ. 1941 หลังจากการลงนามในสนธิสัญญาความเป็นกลางญี่ปุ่น เพื่อเตรียมตัวทำสงครามกับเยอรมนีในแนวรบด้านตะวันออก
ถึงแม้ว่าจีนจะเป็นประเทศฝ่ายสัมพันธมิตรที่ทำการรบเป็นเวลายาวนานที่สุด แต่จีนได้เข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างเป็นทางการภายหลังการโจมตีเพิร์ลฮาเบอร์ โดยจอมทัพเจียง ไคเช็คมีความเชื่อมั่นว่าฝ่ายสัมพันธมิตรจะสามารถชนะสงครามได้หลังจากการเข้าสู่สงครามของสหรัฐอเมริกา
[แก้] ฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตก
ในวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1939 การรุกรานโปแลนด์ของเยอรมนีได้เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสประกาศสงครามต่อเยอรมนีในวันที่ 3 กันยายน ในวันเดียวกัน ประเทศเครือจักรภพประกาศสงครามเข้ากับสหราชอาณาจักรด้วยเช่นกัน
ในวันที่ 17 กันยายน สหภาพโซเวียตรุกรานโปแลนด์ทางทิศตะวันออก ต่อมา ในวันที่ 30 กันยายน สหภาพโซเวียตโจมตีฟินแลนด์ ภายในปีต่อมา สหภาพโซเวียตได้ผนวกเอาดินแดนของรัฐบอลติก ซึ่งประกอบด้วยเอสโตเนีย ลัตเวียและลิทัวเนีย สนธิสัญญาไม่รุกรานกันระหว่างเยอรมนี-โซเวียตยุติลงภายหลังจากการรุกรานสหภาพโซเวียต ในวันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 1941
ส่วนสหรัฐอเมริกาเข้าสู่สงครามหลังจากการโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1941 ต่อมา ปฏิญญาแห่งสหประชาชาติในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1942 ซึ่งประกอบด้วยประเทศสมาชิกร่วมลงนามจำนวน 26 ประเทศ ถือได้ว่าเป็นประเทศฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม ประเทศฝ่ายสัมพันธมิตรจำนวน 3 ประเทศ สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตถือได้ว่าเป็น ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสาม อย่างไม่เป็นทางการ
[แก้] ประเทศสมาชิกอย่างเป็นทางการ
[แก้] ฝ่ายสัมพันธมิตรดั้งเดิม
ประเทศสัมพันธมิตรดั้งเดิม คือ กลุ่มประเทศที่ประกาศสงครามต่อนาซีเยอรมนี ในช่วงการรุกรานโปแลนด์ในปี 1939 อันประกอบด้วย
ซึ่งกลุ่มประเทศเหล่านี้มีความสัมพันธ์กันจากเครือข่ายสนธิสัญญาป้องกันร่วมกัน และสนธิสัญญาในความร่วมมือพันธมิตรทางการทหารก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ส่วนความร่วมมือกันระหว่างสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสสามารถย้อนไปได้ถึง ความเข้าใจระหว่างอังกฤษ-ฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1904 และฝ่ายไตรภาคี ในปี ค.ศ. 1907 และดำเนินการร่วมกันในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ส่วนพันธมิตรทางการทหารฝรั่งเศส-โปแลนด์ได้รับการลงนาม ในปีค.ศ. 1921 ซึ่งได้รับการแก้ไขในปี ค.ศ. 1927 และอีกครั้งในปี ค.ศ. 1939 ส่วนบัญญัติป้องกันร่วมกันอังกฤษ-โปแลนด์ ได้รับการลงนามในวันที่ 25 สิงหาคม 1939 ซึ่งประกอบไปด้วยสัญญาในการให้ความร่วมมือทางการทหารร่วมกันระหว่างชาติในกรณีถูกรุกรานโดยนาซีเยอรมนี
[แก้] โปแลนด์
สงครามโลกครั้งที่สองในทวีปยุโรปเริ่มต้นขึ้นเมื่อการรุกรานโปแลนด์ ในขณะนั้น กองทัพโปแลนด์มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่สามของบรรดาประเทศในทวีปยุโรป รองจากสหภาพโซเวียตและสหราชอาณาจักร โปแลนด์ไม่เคยยอมจำนนอย่างเป็นทางการต่อนาซีเยอรมนี และทำสงครามต่อภายใต้คณะรัฐบาลพลัดถิ่นโปแลนด์
กองทัพบ้านเกิดซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรปนอกอาณาเขตของสหภาพโซเวียต และมีขบวนการเคลื่อนไหวใต้ดินอื่น ๆ ที่ได้ให้ข้อมูลข่าวกรองซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติการให้สำเร็จในสงครามระยะต่อมา และได้เปิดเผยการก่อาชญากรรมสงครามของนาซีเยอรมนีต่อฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตก นอกจากนี้ กองกำลังโปแลนด์ยังได้มีส่วนช่วยเหลือฝ่ายสัมพันธมิตรในแนวรบด้านตะวันตก แนวรบทะเลทราย และแนวรบด้านตะวันออกอีกด้วย
[แก้] เครือจักรภพอังกฤษ
สหราชอาณาจักรและดินแดนซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของสำนักงานอาณานิคม และบริติชราช ถูกควบคุมนโยบายทางการเมืองตามสหราชอาณาจักร โดยประเทศเหล่านี้ถูกดึงเข้าสู่สงครามหลังจากการประกาศสงครามของสหราชอาณาจักร ซึ่งประเทศเหล่านี้ประกอบด้วย ออสเตรเลีย แคนาดา นิวซีแลนด์และแอฟริกาใต้
[แก้] ฝรั่งเศส
ฝรั่งเศสมีส่วนร่วมกับการรบในแนวรบด้านตะวันตก นับตั้งแต่สงครามลวง และยุทธการฝรั่งเศส หลังจากความพ่ายแพ้ต่อกองทัพเยอรมัน ดินแดนฝรั่งเศสถูกแบ่งออกเป็น "ฝรั่งเศสเขตยึดครอง" และ "วิชีฝรั่งเศส" ขณะที่รัฐบาลฝรั่งเศสลี้ภัยไปยังอังกฤษ และมีการก่อตั้งฝรั่งเศสเสรี ซึ่งมีส่วนร่วมในการปลดปล่อยฝรั่งเศสจนกระทั่งสงครามยุติ
[แก้] กลุ่มออสโล
กลุ่มออสโลเป็นการรวมตัวกันของกลุ่มประเทศที่เป็นกลางระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งในภายหลังได้เข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรในฐานะรัฐบาลพลัดถิ่น อันประกอบด้วย นอร์เวย์ เนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยมและลักเซมเบิร์ก
ฟินแลนด์ถูกรุกรานโดยสหภาพโซเวียตเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 1939 ในภายหลังฟินแลนด์และเดนมาร์กได้เข้าร่วมกับสนธิสัญญาต่อต้านองค์การคอมมิวนิสต์สากลร่วมกับฝ่ายอักษะ ส่วนสวีเดนยังคงดำรงตนเป็นกลางตลอดช่วงเวลาของสงคราม หลังจากสนธิสัญญาสงบศึกในกรุงมอสโกเมื่อปี ค.ศ. 1944 ฟินแลนด์ได้เข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรและหันมาต่อสู้กับเยอรมนีแทน และเกิดเป็นสงครามแลปแลนด์
ส่วนเดนมาร์กซึ่งถูกรุกรานโดยเยอรมนีเมื่อวันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 1940 รัฐบาลเดนมาร์กไม่ได้ประกาศสงครามกับเยอรมนีและยอมจำนนในวันเดียวกัน เนื่องจากว่ารัฐบาลยังคงมีอำนาจในการจัดการกิจการภายในประเทศได้อยู่ เดนมาร์กไม่ได้มีการจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นมา ชาวเดนมาร์กรบโดยอยู่ทั้งฝ่ายสัมพันธมิตรและฝ่ายอักษะ ไอซ์แลนด์ หมู่เกาะแฟโรและกรีนแลนด์ซึ่งถือว่าเป็นอาณานิคมของเดนมาร์ก ถูกยึดครองโดยฝ่ายสัมพันธมิตรตลอดช่วงเวลาส่วนใหญ่ของสงคราม กองทัพอังกฤษรุกรานเกาะไอซ์แลนด์ในวันที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ. 1940 และใช้อำนวยความสะดวกให้กับนโยบายให้กู้-ยืม ส่วนกองกำลังจากสหรัฐอเมริกาได้ยึดครองเกาะกรีนแลนด์เมื่อวันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 1941 หลังจากนั้นก็ได้ยึดครองเกาะไอซ์แลนด์ในวันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 1941 แม้ว่าจะคงดำรงตนเป็นกลางในสงครามก็ตาม ต่อมา ไอซ์แลนด์ประกาศตนเป็นเอกราชจากเดนมาร์กในปี ค.ศ. 1944 แต่ไม่ได้ประกาศสงครามกับประเทศฝ่ายอักษะใด ๆ
[แก้] โปรตุเกส
ถึงแม้ว่าโปรตุเกสจะดำรงความเป็นกลางตลอดช่วงสงครามโลกครั้งที่สองอย่างเป็นทางการ และประธานาธิบดีซาลาซาร์จะชื่นชมการปกครองในระบอบฟาสซิสต์ก็ตาม แต่โปรตุเกสถูกผูกมัดโดยพันธมิตรทางการทหารอังกฤษ-โปรตุเกสมาตั้งแต่ยุคกลาง (นับเป็นพันธมิตรทางการทหารที่เก่าแก่ที่สุดของโลก คือ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1373) และนำไปสู่การสร้างฐานทัพอังกฤษ-สหรัฐอเมริกาในดินแดนของโปรตุเกสในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1943
ทางด้านมหาสมุทรแปซิฟิก โรปตุเกสสูญเสียเกาะติมอร์และมาเก๊าให้แก่ญี่ปุ่น
[แก้] สหภาพรวมอเมริกา
สมาชิกของสหภาพรวมอเมริกายังคงดำรงตนเป็นกลางในช่วงปี ค.ศ. 1939-1941 ได้สร้างสนธิสัญญาป้องกันร่วมกันในที่ประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่กรุงฮาวานา ระหว่างวันที่ 21-30 กรกฎาคม ค.ศ. 1940 โดยมีตัวแทนประเทศ 21 ประเทศร่วมลงนาม อันประกอบด้วย
- โบลิเวีย
- บราซิล
- ชิลี
- โคลัมเบีย
- คอสตาริกา
- คิวบา
- สาธารณรัฐโดมินิกัน
- เอลซัลวาดอร์
- กัวเตมาลา
- เฮติ
- ฮอนดูรัส
- เม็กซิโก
- นิคารากัว
- ปานามา
- สหรัฐอเมริกา
[แก้] องค์การคอมมิวนิสต์สากล
- แนวราษฎร
- อัลเบเนีย
- มาเลเซีย
- มองโกเลีย
- สหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต
- สาธารณรัฐประชาชนตูวา
- เวียดนาม - เวียดมินห์
- ยูโกสลาเวีย
[แก้] องค์การสหประชาชาติ
หลังจากได้มีการลงนามในปฏิญญาสหประชาชาติเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1942 โดยมีตัวแทนจาก 27 ประเทศร่วมลงนาม ประกอบด้วย
ส่วนประเทศที่ลงนามในภายหลังได้แก่
- เครือจักรภพฟิลิปปินส์ (ค.ศ. 1942)
- เอธิโอเปีย (ค.ศ. 1942)
- อิรัก (ค.ศ. 1943)
- อิหร่าน (ค.ศ. 1943)
- บราซิล (ค.ศ. 1943)
- โบลิเวีย (ค.ศ. 1943)
- ไลบีเรีย (ค.ศ. 1944)
- ฝรั่งเศส (ค.ศ. 1944)
- เปรู (ค.ศ. 1945)
- ชิลี (ค.ศ. 1945)
- ปารากวัย (ค.ศ. 1945)
- เวเนซุเอลา (ค.ศ. 1945)
- อูรุกวัย (ค.ศ. 1945)
- ตุรกี (ค.ศ. 1945)
- อียิปต์ (ค.ศ. 1945)
- ซาอุดีอาราเบีย (ค.ศ. 1945)
- เลบานอน (ค.ศ. 1945)
- ซีเรีย (ค.ศ. 1945)
[แก้] อ้างอิง
- ^ Hakim, Joy (1995). A History of Us: War, Peace and all that Jazz. New York: Oxford University Press. ISBN 0-19-509514-6.
- ^ Douglas Brinkley, FDR & the Making of the U.N.
- ^ ยูโกสลาเวียถูกก่อตั้งขึ้นในวันที่ 29 พฤศจิกายน 1943 โดย พลพรรคชาวยูโกสลาฟ ซึ่งได้รับการรับรองจากประเทศฝ่ายสัมพันธมิตรในการประชุมเตหะราน
[แก้] แหล่งข้อมูลอื่น
ฝ่ายสัมพันธมิตร เป็นบทความเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ ที่ยังไม่สมบูรณ์ ต้องการตรวจสอบ เพิ่มเนื้อหาหรือเพิ่มแหล่งอ้างอิง คุณสามารถช่วยเพิ่มเติมหรือแก้ไข เพื่อให้สมบูรณ์มากขึ้น ข้อมูลเกี่ยวกับ ฝ่ายสัมพันธมิตร ในภาษาอื่น อาจสามารถหาอ่านได้จากเมนู ภาษาอื่น ด้านซ้ายมือ หรือ ดูเพิ่มที่ สถานีย่อย:ประวัติศาสตร์ |