จังหวัดบาหลี
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
|
|
เมืองเอก | เดนปาซาร์ |
ผู้ว่าราชการ | Made Mangku Pastika |
เนื้อที่ | 5,632.86 กม² (2,175 ไมล์²) |
ประชากร | 3,150,000 (พ.ศ. 2543) |
ความหนาแน่น | แม่แบบ:Convert//km2 |
กลุ่มชาติพันธุ์ | บาหลี (89%), ชวา (7%), บาเลียกา (1%), มาดูรา (1%) |
ศาสนา | ฮินดู (93.19%), อิสลาม (4.79%), คริสต์ (1.38%), พุทธ (0.64%) |
ภาษา | อินโดนีเซีย (ราชการ) และบาหลี |
เขตเวลา | เขตเวลาอินโดนีเซียกลาง (UTC+8) |
เว็บไซต์ | www.baliprov.go.id |
จังหวัดบาหลี เป็น 1 ใน 33 จังหวัดของประเทศอินโดนีเซีย เมืองสำคัญคือเดนปาซาร์ พื้นที่ทั้งหมด 5,634.40 ตารางกิโลเมตร มีประชาการทั้งสิ้น 3,422,600 คน ความหนาแน่นของประชากร 607 คน/ตารางกิโลเมตร ภาษาที่ใช้คือภาษาอินโดนีเซียและภาษาบาหลี
เนื้อหา |
[แก้] ประวัติศาสตร์
[แก้] ยุคเริ่มต้น
บาหลีเป็นถิ่นที่อยู่ของชนเผ่าออสโตรนีเชียน (Austronesian) ที่อพยพมาจากถิ่นฐานเดิมบนเกาะไต้หวัน โดยใช้เส้นทางทางทะเลผ่านภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อประมาณ 2,000 ปีก่อนคริสตกาล[1][2] วัฒนธรรมและภาษาของชาวบาหลีจึงเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิดกับผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณหมู่เกาะอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และโอเชียเนีย (Oceania)[3] มีการขุดพบเครื่องมือที่ทำจากหินมีอายุกว่า 3,000 ปีได้ที่หมู่บ้านเจะเก๊ะ (Cekik) ที่อยู่ทางตะวันตก รวมทั้งที่ตั้งถินฐานและหลุมฝังศพของมนุษย์ในยุคนีโอลิธิก (Neolithic) ถึงยุคสำริด และโครงกระดูกมนุษย์โบราณอายุกว่า 4,000 ปี จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ซิตุส ปุรบา ลากา (Museum Situs Purbalaka) ที่เมืองกิลิมานุ (Gilimanuk) อีกด้วย[4][5] ประวัติของบาหลีก่อนการเผยแพร่ศาสนาฮินดูเข้ามายังหมู่เกาะอินโดนีเซียโดยพ่อค้าชาวอินเดียในช่วงศตวรรษที่ 7 เป็นที่รู้กันน้อยมาก [4] อย่างไรก็ตามบาหลีเริ่มเป็นเมืองค้าขายที่คึกคักตั้งแต่ 200 ปีก่อนคริสตกาล[5] แต่การบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับบาหลีที่เป็นลายลักษณ์อักษร ปรากฏในศิลาจารึกที่ขุดค้นพบใกล้หาดซานูร์ (Sanur) รวมทั้งจารึกบนแผ่นโลหะ เทวรูปสำริด และหินสลักที่แสดงถึงอิทธิพลของศาสนาพุทธและฮินดู บริเวณรอบๆภูเขากุนุง คาวี (Gunung Kawi) และถ้ำกัว กะจะห์ (Goa Gajah)
[แก้] อิทธิพลของศาสนาฮินดู
ในช่วงศตวรรษที่ 9 สังคมของชาวบาหลีเริ่มเฟื่องฟูขึ้น ราว ค.ศ. 900 ชาวบาหลีเริ่มพัฒนาระบบชลประทาน การปลูกข้าว รวมทั้งวัฒนธรรมและศิลปะที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง หลักฐานเกี่ยวกับราชวงศ์บาหลีเริ่มปรากฏในเวลานั้นเช่นกัน โดยมีภาพแกะสลักหินแสดงพิธีอภิเษกสมรสของกษัตริย์บาหลีพระนามว่าพระเจ้าอุดายานา (Udayana) กับ เจ้าหญิงชวาตะวันออกพระนามว่าเจ้าหญิงมเหนธรัตตะ (Mahendratta) ที่วัดปุรา โคระห์ เตกิปัน (Pura Korah Tegipan) ที่อยู่บริเวณภูเขากุนุง บาตูร์ (Gunung Batur) ทั้งสองพระองค์มีโอรสพระนามว่าเจ้าชายไอร์ลังกา (Airlangga) ประสูติเมื่อ ค.ศ. 991 ในเวลาเดียวกัน ชวาเริ่มแผ่อิทธิพลเข้ามายังบาหลี เมื่อพระองค์อายุได้ 16 ปี ทรงหนีไปยังชวาตะวันตกและทรงได้รับการสนับสนุนจากชาวชวาในเวลาต่อมา เมื่อพระองค์ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ชวา จึงทรงรวมบาหลีและชวาให้เป็นปึกแผ่นจนกระทั่งสิ้นพระชนม์เมื่อค.ศ.1049 [4][5] ภาษาชวาที่เรียกว่าภาษากาวี (Kawi) ได้นำมาใช้ในหมู่ราชวงค์บาหลี หลักฐานความสัมพันธ์ระหว่างบาหลีกับเกาะชวาในช่วงศตวรรษที่ 11 อยู่ที่หินสลักที่ภูเขากุนุง คาวี ใกล้กับเมืองตัมปักสิริง (Tampaksiring) หลังจากนั้นบาหลีอยู่ในสถานภาพกึ่งเอกราช จนกระทั่ง ค.ศ. 1284 พระเจ้าเกอรตานาการาหรือเกียรตินคร (Kertanagara) กษัตริย์ชวาแห่งอาณาจักรสิงหะส่าหรี (Singasari) ได้รุกรานบาหลี แต่หลังจากนั้น 8 ปี อาณาจักรสิงหะส่าหรีล่มสลาย โอรสของพระเจ้าเกอรตานาการาพระนามว่าเจ้าชายวิจายาหรือวิชัย (Vijaya) ได้ตั้งอาณาจักรมัชปาหิต (Majapahit) ซึ่งนับถือศาสนาฮินดูขึ้น ช่วงเวลานี้เอง บาหลีถือโอกาสแยกตัวเป็นเอกราช ปกครองโดยราชวงศ์ปาเจ็ง (Pajeng) มีศูนย์กลางใกล้กับเมืองอูบุด (Ubud) แต่กะจะห์ มาดา (Gajah Mada) เสนาบดีแห่งอาณาจักรมัชปาหิตเข้ารุกรานบาหลีในรัชสมัยของพระเจ้าดาเล็ม เบอะเดาลู (Dalem Bedaulu) แห่งราชวงศ์ปาเจ็งในปีค.ศ.1343 และได้รวมบาหลีเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรมัชปาหิต หลังจากนั้นบาหลีได้ย้ายศูนย์กลางไปอยู่ที่เกลเกล (Gelgel) ใกล้กับเมืองเสมาระปุระ (Semarapura) ในช่วงปลายศตวรรษที่ 14 โดยมีกษัตริย์ปกครองชึ่งชาวบาหลีเรียกว่าเทวะ อากุง (Dewa Agung) พระนามว่าพระเจ้าบาตูร์ เร็งก็อง (Batur Renggong) ครองราชย์ในปีค.ศ.1550[4][5] ก่อนหน้านั้นไม่นานอาณาจักรมัชปาหิตได้ล่มสลายลงในปี ค.ศ. 1515 ลงจากการขยายอิทธิพลของชาวมุสลิม บรรดานักปราชญ์ซึ่งหนึ่งในนั้นคือนักบวชฮินดูชื่อนิราร์ธา (Nirartha) ได้อพยพข้ามมายังบาหลี โดยนำศิลปวัตถุ ช่างศิลป์ นางรำ นักดนตรี และนักแสดงประจำราชสำนักมัชปาหิตเข้ามาด้วย และได้สร้างวัดปุรา ลุฮูร์ อูลู วาตู (Pura Luhur Ulu Watu) และวัดปุรา ตานะห์ ล็อต (Pura Tanah Lot) ขึ้น การอพยพครั้งใหญ่ของชาวฮินดูจากชวาได้สิ้นสุดลงราวศตวรรษที่ 16[4][5] [6] การอพยพครั้งนี้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อสังคมบาหลี สังคมฮินดูในบาหลีเริ่มซับซ้อนขึ้น มีการนำระบบวรรณะเข้ามาใช้ ชาวบาหลีที่อยู่ดั้งเดิมจึงอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานบริเวณภูเขาทางตอนใน ซึงปัจจุบันนี้ผู้สืบเชื้อสายของคนเหล่านี้เรียกว่าบาหลี อะกา (Bali Aga) หรือบาหลี มูลา (Bali Mula) ยังคงอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านเติงงะนัน (Tenganan) ใกล้กับวัดปุรา ดาซา (Pura Dasa) และหมู่บ้านตรุนยัน (Trunyan) บริเวณทะเลสาบบาตูร์[5]
[แก้] การยึดครองของฮอลันดา
ชาวยุโรปกลุ่มแรกที่เดินทางมายังบาหลีคือชาวฮอลันดา ซึ่งนำโดยกัปตันคอเลอนิยุส เดอะ ฮุทมัน (Colenius de Houtman) เมื่อค.ศ.1597 และเริ่มเจริญความสัมพันธ์กับราชวงค์บาหลี ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 อีกทางฝากหนึงของบาหลี ชาวฮอลันดาได้ทำสนธิสัญญาการค้าหลายฉบับกับชวา และเส้นทางการค้าเครื่องเทศส่วนใหญ่ได้ตกอยู่ในความควบคุมของชาวฮอลันดาแล้ว[4] เมื่อค.ศ.1710 ศูนย์กลางของบาหลีได้ย้ายไปอยู่ที่กลุงกุง (Klungkung) ปัจจุบันคือเมืองเสมาระปุระ[4][6] เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ชนชั้นปกครองในบาหลีเริ่มแตกแยกและแบ่งออกเป็นอาณาจักรย่อยๆ ส่วนชาวฮอลันดาเริ่มเข้ามามีอิทธิพลโดยใช้วิธีแบ่งแยกและปกครอง[4] การเข้าควบคุมบาหลีทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจเริ่มต้นเมื่อราวค.ศ.1840 โดยในปีค.ศ.1846 ชาวฮอลันดาได้อ้างการกู้เรือจมบริเวณชายฝั้งทางด้านเหนือ ใกล้กับเมืองสิงงะราจา (Singaraja) ในปัจจุบัน นำกำลังทหารเข้ามาและยึดอาณาจักรบูเลเล็ง (Buleleng) และเจ็มบรานา (Jembrana) ไว้ได้[6][7]เมื่อยึดอาณาจักรทางตอนเหนือได้แล้ว จึงเริ่มเข้ารุกรานอาณาจักรทางตอนใต้ ในปีค.ศ.1904 ฮอลันดาได้อ้างการร่วมกู้ซากเรือจีนนอกชายฝั่งหาดซานูร์ เรียกร้องให้อาณาจักรบาดุงจ่ายค่าชดเชยเป็นจำนวนเงิน 3,000 เหรียญเงิน แต่ได้รับการปฏิเสธ ในปีค.ศ.1906 ฮอลันดาจึงได้
ยกกำลังทหารเข้ามาบริเวณหาดซานูร์ โดย 4 วันหลังจากนั้น ได้บุกเข้ามาถึงชานเมืองเดนปาซาร์ (Denpasar) วันที่ 20 กันยายน ค.ศ.1906 ฮอลันดาจึงเริ่มยิงถล่มเมืองเดนปาซาร์ แต่ฝ่ายบาดุงใช้วิธีการพลีชีพของนักรบที่เรียกว่าปูปูตัน (Puputan) โดยบรรดาเชื้อพระวงค์ทรงเผาพระราชวังและแต่งพระองค์เต็มพระยศพร้อมทรงกริช ทรงดำเนินพร้อมกับเหล่านักบวชและข้าราชบริพารเข้าต่อสู้ แต่ทั้งหมดไม่ยอมจำนน กลับแทงตัวตายด้วยกริชแทน เหตุการณ์ในครั้งนั้นมีชาวบาหลีเสียชีวิตประมาณ 4,000 คน เมื่อยึดอาณาจักรบาดุงได้แล้ว ฮอลันดาจึงเข้ายึดอาณาจักรตาบานัน (Tabanan) จับกษัตริย์เป็นเชลย แต่ทรงไม่ยอมจำนนและทรงกระทำอัตนิวิบาตกรรม จากนั้นฮอลันดาได้เข้ายึดครองอาณาจักรการังอะเซ็ม (Karangasem) และเกียนยัร (Gianyar) แต่อนุญาตให้ราชวงค์ยังทรงปกครองได้ต่อไป ส่วนอาณาจักรอื่นๆ ฮอลันดาได้ขับไล่เจ้าเมืองออกทั้งหมด ในเดือนเมษายน ค.ศ.1908 เมื่อฮอลันดาบุกยึดอาณาจักรเสมาระปุระ เช่นเดียวกับกษัตริย์ตาบานัน กษัตริย์เสมาระปุระทรงไม่ยอมจำนนและทรงกระทำอัตนิวิบาตกรรมเช่นกัน การบุกยึดครั้งนั้นทำให้พระราชวังตามัน เกอร์ธา โกซา (Taman Gertha Gosa) ได้รับความเสียหายเป็นส่วนใหญ่ ส่งผลให้ตั้งแต่ค.ศ.1911 ฮอลันดาได้ครอบครองดินแดนของบาหลีได้ทั้งหมดและได้รวมบาหลีเข้าเป็นส่วนหนึงของอินเดียตะวันออกของฮอลันดา (Dutch East Indies)[4][6][8]
[แก้] สงครามโลกครั้งที่สองและการประกาศเอกราช
กองทัพญี่ปุ่นได้ยกพลขึ้นบกที่หาดซานูร์ ในปีค.ศ.1942 และได้ตั้งกองบัญชาการที่เมืองเดนปาซาร์ และเมืองสิงงะราจา และขับไล่ชาวฮอลันดาออกไป เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่สองเมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ.1945 เมื่อฮอลันดาต้องการกลับเข้ามายึดครองบาหลีอีก ขบวนการต่อต้านฮอลันดาเริ่มก่อตั้งขึ้น วันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ.1945 นายซูการ์โน (Soekarno) ถือโอกาสประกาศเอกราชแก่ดินแดนที่เคยอยู่ภายใต้การยึดครองของฮอลันดาทั้งหมดและก่อตั้งสาธารณรัฐอินโดนีเซียขึ้น แต่ฝ่ายฮอลันดาไม่รับรอง ขบวนการต่อต้านฮอลันดาในบาหลีชื่อเต็นตรา เกอะอะมานัน รัคยัต (Tentra Keamanan Rakyat) หรือกองกำลังความมั่นคงแห่งประชาชน (People's Security Force) ลุกฮือขึ้นต่อต้านฮอลันดาที่เมืองมาร์กา (Marga) เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ.1946 นำโดยอิ กุสตี งูระห์ ไร (I Gusti Ngurah Rai) โดยเป็นการต่อสู้เพื่อพลีชีพของนักรบหรือปูปูตันอีกครั้ง ในที่สุดฮอลันดาประกาศรับรองเอกราชของอินโดนีเซียเมื่อปีค.ศ.1949 และบาหลีจึงเป็นส่วนหนึ่งของอินโดนีเซียในปัจจุบัน[4][6][9]
[แก้] การปกครอง
หลังจากได้รับเอกราช บาหลีได้รวมเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดนูซา เต็งการา (Nusa Tenggara) จนกระทั่งค.ศ.1958 รัฐบาลกลางได้ประกาศแยกบาหลีออกเป็นจังหวัดหนึ่งของอินโดนีเซีย[4]
การปกครองของจังหวัดบาหลี แบ่งเป็น 8 เขต (Districts หรือในยุคอาณานิคมเรียกว่า Regencies) โดยภาษาอินโดนีเซียเรียกว่ากาบูปาเต็น (Kabupaten)[10]
เขต | เมืองหลัก | พื้นที่ (ตารางกิโลเมตร) |
บาดุง (Badung) | เดนปาซาร์ (Denpasar) | 420.09 |
บางลี (Bangli) | บางลี (Bangli) | 520.81 |
บูเลเล็ง (Buleleng) | สิงงะราจา (Singaraja) | 1,365.88 |
เกียนยัร (Gianyar) | อูบุด (Udud) | 368.00 |
เจ็มบรานา (Jembrana) | เนการา (Negara) | 841.80 |
การังอะเซ็ม (Karangasem) | อัมลาปุระ (Amlapura) | 839.54 |
กลุงกุง (Klungkung) | เสมาระปุระ (Semarapura) | 315.00 |
ตาบานัน (Tabanan) | ตาบานัน (Tabanan) | 839.30 |
[แก้] ประชากร
เชื้อชาติ เป็นชาวบาหลี 89% ที่เหลือเป็นชาวชวาและอื่นๆ ส่วนใหญ่นับถือศาสนาฮินดู 93.18% ศาสนาอิสลาม 4.79% ศาสนาคริสต์ 1.38% ศาสนาพุทธ 0.64%
[แก้] เศรษฐกิจ
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยวิกิพีเดียไทยได้โดยการเพิ่มเติมข้อมูลในส่วนนี้ |
[แก้] วัฒนธรรม
ส่วนใหญ่ชาวบาหลีได้รับวัฒนธรรมจากอินเดียเป็นอันมาก เช่นศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาพุทธ รามายณะ ตลอดจนอักษร ภาษา ฯลฯ นั้นล้วนมาจากอินเดีย และนำมารวมกับวัฒนธรรมประจำท้องถิ่น และนำใช้อย่างแพร่หลาย
[แก้] รายการอ้างอิง
- ^ Hinzler, Heidi. (1995). Artifacts and early foreign influences. In Eric Oey (Ed.), Bali (pp. 24-25). Singapore: Periplus Editions. ISBN 962-593-028-0.
- ^ Taylor, Jean Gelman. (2003). Indonesia: Peoples and histories. New Haven and London: Yale University Press. ISBN 0-300-10518-5.
- ^ Op. cit., Hinzler, Heidi. (1995), pp. 24-25.
- ^ 4.00 4.01 4.02 4.03 4.04 4.05 4.06 4.07 4.08 4.09 4.10 Ver Berkmoes, Ryan, Skolnick, Adam & Caroll, Marian. (2009). Lonely planet: Bali & Lombok. (12th ed.). Melbourne: Lonely Planet. ISBN 978-1-74104-864-3.
- ^ 5.0 5.1 5.2 5.3 5.4 5.5 History of Bali
- ^ 6.0 6.1 6.2 6.3 6.4 History for Bali
- ^ Vickers, Adrian. (1995). In Eric Oey (Ed.), Bali (pp. 26-35). Singapore: Periplus Editions. ISBN 962-593-028-0.
- ^ History of Bali by Amanda Byron
- ^ I Gusti Ngurah Rai; Balinese National Hero
- ^ Government of Bali
จังหวัดบาหลี เป็นบทความเกี่ยวกับ ประเทศ เมือง หรือเขตการปกครองต่าง ๆ ที่ยังไม่สมบูรณ์ ต้องการตรวจสอบ เพิ่มเนื้อหาหรือเพิ่มแหล่งอ้างอิง คุณสามารถช่วยเพิ่มเติมหรือแก้ไข เพื่อให้สมบูรณ์มากขึ้น ข้อมูลเกี่ยวกับ จังหวัดบาหลี ในภาษาอื่น อาจสามารถหาอ่านได้จากเมนู ภาษาอื่น ด้านซ้ายมือ |