สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พระนามเต็ม | สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี |
พระอิสริยยศ | สมเด็จพระบรมราชินี |
ฐานันดรศักดิ์ | สมเด็จพระบรมราชินี |
ราชวงศ์ | ราชวงศ์จักรี |
พระราชสมภพ | 20 ธันวาคม พ.ศ. 2447 กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย |
สวรรคต | 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2527 กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย (พระชนมายุ 79 พรรษา) |
พระราชบิดา | สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ |
พระราชมารดา | พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภาพรรณี |
พระราชสวามี | พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว |
พันเอก(หญิง) สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี (๒๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๔๗ - ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๗) ทรงเป็นพระอัครมเหสีเพียงพระองค์เดียวในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระมเหสีพระองค์แรกตามแบบยุโรป และระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทย นอกจากนั้นพระองค์ยังทรงเป็นพระมเหสีเพียงพระองค์เดียวที่ทรงตกเป็นจำเลยของรัฐบาลอีกด้วย
เนื้อหา |
[แก้] พระราชประวัติ
[แก้] ขณะยังทรงพระเยาว์
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันอังคารที่ ๒๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๔๗ ทรงเป็นพระธิดาใน สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ ต้นราชสกุล สวัสดิวัตน์ และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภาพรรณี มีพระนามเดิมว่า หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี สวัสดิวัตน์ ชาววังเรียกขานพระนามพระองค์ว่า ท่านหญิงนา ซึ่งพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ผู้ทรงนิพนธ์หนังสือเรื่อง เกิดวังปารุสก์ ได้เล่าถึงที่มาของพระนามนี้ว่า[1]
“เพื่อนเล่นที่ข้าพเจ้ารักมากที่สุดเป็นหญิง และแก่กว่าข้าพเจ้าราวสามปี เป็นหม่อมเจ้าธิดาของเสด็จปู่สวัสดิ์ ทรงนามว่า รำไพพรรณี และเรียกกนในเวลานั้นว่า ท่านหญิงนา หม่อมเจ้าหญิงนั้นโดยมากจะเรียกกันว่า ท่านหญิงใหญ่ ท่านหญิงเล็ก ท่านหญิงน้อย ดังนี้เป็นต้น การถูกเรียกว่าท่านหญิงนานั้น ผู้อ่านบางคนอาจจะเห็นว่าแปลก เรื่องราวเป็นเช่นนี้ เมื่อเล็ก ๆ อยู่เป็นเด็กที่มีรูปร่างอ้วน จึงถูกล้อว่าเป็นเต่า สำหรับไทยเราการถูกเรียกว่าเต่าเมื่อเล็ก ๆ ไม่เป็นของเสียหาย แม้ทูลหม่อมลุงก็เคยถูกสมเด็จย่าเรียกว่าเต่า อย่างไรก็ดี เมื่อท่านหญิงนายังเล็ก ๆ อยู่ ได้ถูกถามว่า “อยากเป็นอะไร อยากเป็นเต่าทองหรือเต่านา” ท่านหญิงองค์เล็กได้ยิ้มและตอบว่า อยากเป็นเต่านา และก็เลยกลายเป็นท่านหญิงนาตั้งแต่นั่นมา”
เมื่อทรงเจริญพระชันษาได้ ๒ ปี พระบิดาได้นำเข้าไปถวายตัวแด่ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ตามราชประเพณีของเจ้านายสมัยก่อนที่ถวายตัวเข้าไปอยู่ในวังตั้งแต่มีพระชันษายังน้อย ซึ่งในระยะนั้นสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถประทับอยู่ที่พระตำหนักสวนสี่ฤดู พระราชวังดุสิต ในเวลานี้หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณีกำลังทรงศึกษาภาษาไทยเบื้องต้นอยู่
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตในวันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณีมีชันษาได้ ๖ ปี ได้ทรงย้ายสถานที่พักจากพระราชวังดุสิต ไปพระบรมมหาราชวังตามสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถไปด้วย และได้เสด็จเข้าทรงศึกษาในโรงเรียนราชินีพร้อมหม่อมเจ้าพระองค์อื่น ๆ หลังจากเสร็จการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพแล้ว สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถได้เสด็จย้ายจากพระบรมมหาราชวังไปสู่พระราชวังพญาไท ซึ่งพระองค์ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระตำหนักขึ้นใหม่และได้ประทับ ณ พระราชวังแห่งนี้เป็นการถาวรจนตลอดพระชนมชีพของพระองค์ ซึ่งหม่อมเจ้ารำไพพรรณีได้ตามเสด็จมาด้วยโดยประทับอยู่บนพระตำหนักฝ่ายในติดกับห้องเสวย
เมื่อหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณีมีชันษาได้ ๘ ปีเศษ และได้ผ่านพระราชพิธีเกศากันต์ (โกนจุก) แล้ว ก็ได้ทรงรู้จักกับ ร้อยโทสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา ซึ่งได้เสด็จนิวัติกลับกรุงเทพมหานคร หลังจากทรงได้สำเร็จการศึกษาวิชาการทหารจากประเทศอังกฤษแล้ว สาเหตุก็อันเนื่องมาจากสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอฯ ได้เสด็จมาประทับที่พระราชวังพญาไทกับพระชนนีเป็นครั้งคราว และหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณีจะเป็นผู้ที่สนิทกันมากที่สุดด้วย
[แก้] อภิเษกสมรส
เมื่อปี พ.ศ. 2460 หลังจากสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา ได้ทรงลาสิกขาจากการผนวช ณ พระตำหนักทรงพรต วัดบวรนิเวศวิหารแล้ว ก็ได้กราบบังคมทูลพระกรุณา และขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวที่จะเสกสมรสกับหม่อมเจ้ารำไพพรรณี โดยได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ประกอบพิธีอภิเษกสมรสพระราชทานขึ้น ณ วังศุโขทัย ถนนสามเสน และพระราชพิธีอภิเษกสมรสที่ พระที่นั่งวโรภาษพิมาน พระราชวังบางปะอิน[2] การอภิเษกสมรสในครั้งนี้ถือเป็นพระราชพิธีอภิเษกสมรสครั้งแรก หลังจากการตรากฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการเสกสมรสแห่งเจ้านายในพระราชวงศ์[3]
ส่วน วังศุโขทัย นั้น ได้สร้างขึ้นก่อนที่ทั้ง 2 พระองค์จะทรงเสกสมรสกัน โดยเป็นเรือนหอที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ พระราชทานสร้างให้บริเวณคลองสามเสนและพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้สถาปนาหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี ขึ้นเป็น หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี พระวรชายา
[แก้] สมเด็จพระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗
หลังจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตในวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา ได้เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติเป็น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี พระวรชายา จึงทรงต้องเสด็จขึ้นเป็นพระราชินีแห่งราชอาณาจักรสยาม และทรงได้รับพระราชทานสถาปนาเป็น สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี[4]
ในวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ คณะราษฎรได้ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ประทับอยู่ที่ วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ไปทรงเจริญทางพระราชไมตรีกับประเทศทางทวีปยุโรป และได้ทรงรับการผ่าตัดและรักษาพระเนตร ณ ประเทศอังกฤษ
ถึงแม้จะทรงอยู่ที่ยุโรป แต่ก็ยังมีการขัดแย้งเจรจาเกี่ยวกับการเมืองกับทางกรุงเทพมหานครสืบเนื่องกันอยู่ตลอดเวลา จนในที่สุด ก็มีการขัดแย้งกันระหว่างพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว กับรัฐบาล เช่นในเรื่องที่รัฐบาลได้แต่งตั้งพรรคพวก เข้าเป็นสมาชิกผู้เทนราษฎรประเภทที่สอง และรัฐบาลไม่ได้ให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนอย่างเพียงพอ ไม่ตรงกับพระราชปณิธานอย่างแน่วแน่ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ดังนั้นในวันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ขณะที่ยังประทับอยู่ในประเทศอังกฤษ จึงทรงเลือกโอกาสสุดท้ายที่จะแสดงความไม่เห็นพ้องกับคณะผู้บริหารประเทศด้วยการตัดสินพระราชหฤทัยว่า
"บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นว่า ความประสงค์ของข้าพเจ้าที่จะให้ราษฎรมีสิทธิออกเสียงในนโยบายของประเทศโดยแท้จริง ไม่เป็นผลสำเร็จ และเมื่อข้าพเจ้ารู้สึกว่าบัดนี้เป็นอันหมดหนทางที่ข้าพเจ้าจะช่วยเหลือหรือให้ความคุ้มครองแก่ประชาชนได้ต่อไปแล้ว ข้าพเจ้าจึงขอสละราชสมบัติออกจากตำแหน่งพระมหากษัตริย์แต่บัดนี้เป็นต้นไป"
หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประกาศที่จะทรงสละราชสมบัติแล้ว พระองค์พร้อมกับสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี และพระประยูรญาติสนิทบางพระองค์ จึงทรงย้ายที่ประทับจากใจกลางเมืองไปอยู่ในชนบทใกล้กรุงลอนดอน ทรงวางพระองค์เยี่ยงคหบดีชนบท ทรงจัดสวน เลี้ยงนกเลี้ยงปลา เสด็จประพาสทัศนศึกษาตามโบราณสถานต่างๆ ฯลฯ
ในช่วงที่ประทับอยู่ในสหราชอาณาจักรนั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระประชวรอยู่เนือง ๆ แต่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีก็ยังทรงปรนิบัติพระองค์ จนถึงวันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ขณะที่ทั้ง ๒ พระองค์ประทับอยู่ที่พระตำหนักคอมพ์ตัน ตำบลเวอร์จิเนียวอเตอร์ ประเทศอังกฤษ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตโดยฉับพลันด้วยพระหทัยวาย ทรงมีพระชนมพรรษา ๔๘ พรรษา
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีทรงจัดการเรื่องพระบรมศพและถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นการภายใน ในวันที่ ๓ มิถุนายน ปีนั้น นับเป็นงานพระบรมศพของพระมหากษัตริย์ไทยที่เรียบและง่ายที่สุดตั้งแต่มีชาติไทยมา ไม่มีพระเมรุมาศ ไม่มีเสียงประโคมย่ำยาม และไม่มีแม้แต่พระสงฆ์สวดพระอภิธรรม นับว่าเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ซึ่งต้องทรงสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป
[แก้] ช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ยังประทับอยู่ในประเทศอังกฤษต่อไปดังเดิม ถึงแม้ว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จสวรรคตไปแล้ว เพราะการคมนาคมติดต่อระหว่างประเทศยังไม่มีความปลอดภัย เนื่องจากอยู่ในช่วงสงคราม และเมื่อประเทศไทยประกาศสงครามกับอังกฤษ และสหรัฐอเมริกา ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒นั้น คนไทยผู้ซึ่งพำนักอยู่ในต่างประเทศจำนวนหนึ่ง จึงได้ประกาศตัวเป็นเสรีไทย ทำงานประสานกับเสรีไทยในกรุงเทพมหานคร
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี แม้จะมิได้มีพระนามร่วมในคณะเสรีไทยอย่างเป็นทางราชการ แต่ก็ได้พระราชทานพระกรุณาอุดหนุนจุนเจือกิจการของเสรีไทยในประเทศอังกฤษมาตลอด ซึ่งในขณะนั้นมีเสรีไทยทั้งหมดเพียง ๓๖ คนในประเทศอังกฤษ
[แก้] เสด็จกลับประเทศไทย
ในปี พ.ศ. ๒๔๙๒ รัฐบาลได้กราบบังคมทูลเชิญสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีเสด็จนิวัติกรุงเทพมหานคร พร้อมกับพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่ออัญเชิญขึ้นประดิษฐานไว้ ณ ที่อันควรแก่พระบรมราชอิสริยยศในพระบรมมหาราชวัง
แต่เมื่อพระองค์เสด็จกลับมา พระตำหนัก วังศุโขทัย ซึ่งเคยเป็นที่ประทับได้กลับกลายเป็นของกระทรวงสาธารณสุขไปเสียแล้ว พระองค์จึงทรงต้องเสด็จไปประทับอยู่ในตำหนักของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก วังสระปทุมแทน เนื่องจากสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีได้เชิญเสด็จสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีไปอยู่ร่วมกับพระองค์ โดยทรงไปประทับอยู่ที่นั่นนานถึง ๓ ปี ถึงได้เสด็จพระราชดำเนินกลับมาประทับที่พระตำหนักวังสุโขทัยอีกครั้ง
[แก้] สวรรคต
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีทรงเริ่มมีพระอาการประชวรด้วยพระโรคความดันพระโลหิตสูง ตั้งแต่ พ.ศ. 2518 ในขณะที่มีพระชนมายุได้ 71 พรรษา[5] และวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2527 เวลา 15 นาฬิกา 50 นาที พระองค์เสด็จเสด็จสวรรคต ด้วยพระหทัยวายโดยพระอาการสงบ ณ พระตำหนักวังศุโขทัย รวมพระชนมายุได้ 79 พรรษา 5 เดือน 2 วัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สำนักพระราชวังจัดการพระบรมศพถวายพระเกียรติยศตามราชประเพณี โดยอัญเชิญพระบรมศพถวายพระลองทองใหญ่ประกอบพระโกศ ประดิษฐานเหนือพระแท่นสุวรรณเบญจดลจำหลักลายประดับรัตนชาติภายใต้สัปตปฎลเศวตฉัตร (ฉัตร 7 ชั้น) ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ภายในพระบรมมหาราชวัง พร้อมทั้งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาทในราชสำนักไว้ทุกข์ถวาย มีกำหนด 100 วัน ตั้งแต่วันสวรรคตเป็นต้นไป[6] นอกจากนี้ สำนักนายกรัฐมนตรีได้ประกาศให้สถานที่ราชการต่าง ๆ ลดธงครึ่งเสาเป็นเวลา 3 วัน และให้ข้าราชการไว้ทุกข์เป็นเวลา 15 วันด้วย[7]
ในวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2528 จึงมีการจัดพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ณ พระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง หลังจากนั้น จึงมีการเชิญพระโกศพระบรมอัฐิขึ้นประดิษฐาน ณ พระวิมานทอง พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท และเชิญพระราชสรีรังคารไปบรรจุที่ฐานพุทธบัลลังก์พระพุทธอังคีรส ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม[8]
[แก้] พระราชกรณียกิจ
เมื่อสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีได้เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรพื้นที่ในจังหวัดจันทบุรี ซึ่งในขณะนั้นเส้นทางคมนาคมยังไม่สะดวก พระองค์ทรงเลือกที่ดินบริเวณตำบลบ้านแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี ด้วยทรงเห็นว่าเป็นทำเลที่มีธรรมชาติงดงาม และมีความเงียบสงบต้องกับพระราชอัธยาศัยของพระองค์ และระยะทางก็อยู่ไม่ห่างไกลจากตัวเมืองจนเกินไปนัก
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ทรงกู้เงินจากธนาคารไปจัดซื้อที่ดินบริเวณสองฝั่งคลองบ้านแก้วจากเจ้าของที่ดินเดิม รวมเนื้อที่ประมาณ ๖๘๗ ไร่ พระราชทานนามว่า "สวนบ้านแก้ว" และยังโปรดเกล้าฯ ให้ข้าราชบริพารทำการปรับที่ดินพร้อมกับสร้างที่ประทับชั่วคราวทำด้วยไม้ไผ่หลังคามุงจาก โดยได้เสด็จพระราชดำเนินไปประทับแรมครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๓ ต่อมาจึงมีการสร้างพระตำหนักหลังอื่นๆต่อมา
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี มีพระราชประสงค์ที่จะให้วังสวนบ้านแก้วนี้ดำเนินกิจการในด้านการปลูกพืชผักสวนครัว ปลูกไม้ผลนานาชนิด ทั้งที่เป็นพืชไม้ผลในท้องถิ่นและพืชและไม้ผลจากที่อื่น ตลอดจนมีการเลี้ยงสัตว์ เพื่อที่จะให้เป็นไร่ตัวอย่างมากกว่าเป็นการค้า โดยทำการทดลองว่าหากปลูกพืชหรือเลี้ยงสัตว์ชนิดใดได้ผลดี ก็จะทรงนำเอาความรู้นั้นออกเผยแพร่แก่ประชาชน โดยมีนักวิชาการเกษตรจากสถานีทดลองเกษตรจังหวัดจันทบุรีที่เป็นข้าราชบริพารเก่ามาช่วยเหลือแนะนำทางด้านวิชาการ และเมื่อโครงการนี้ประสบผลไปด้วยดี พระองค์จึงทรงนำโครงการนี้ไปเผยแพร่แก่ประชาชน ปรากฏว่าโครงการนี้เป็นไปได้ด้วยดีด้วย นอกจากนั้น พระองค์ยังทรงเปิดโรงงานทอเสื่อ สิ่งของขึ้นชื่อของเมืองจันทบุรี โรงพยาบาลประจำจังหวัดอีกด้วย
ในปี พ.ศ. ๒๕๑๑ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ทรงตัดสินพระราชหฤทัยขายวังสวนบ้านแก้วห้แก่กระทรวงศึกษาธิการ เนื่องจากทางกระทรวงต้องการที่ดินสร้างโรงเรียนฝึกหัดครูจันทบุรี จึงทรงตัดสินพระทัยขายให้ในราคาถูก ดังนั้นพระองค์จึงต้องเสด็จกลับมาประทับอยู่ในวังศุโขทัยตามเดิม แม้กระนั้นก็มิได้ทรงละทิ้งกิจการทอเสื่อและผลิตสินค้าจากเสื่อ โปรดเกล้าฯ ให้ดำเนินกิจการเช่นเคยแต่ในปริมาณงานที่ลดลง และโปรดเกล้าฯ ให้ใช้พระตำหนักน้ำในวังศุโขทัยที่อยู่ติดริมคลองสามเสนเป็นสถานที่ทอเสื่อและผลิตสินค้าที่ทำจากเสื่อ ภายใต้การควบคุมอย่างใกล้ชิดของพระองค์เอง
[แก้] พระเกียรติยศ
[แก้] พระอิสริยยศ
- หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี สวัสดิวัฒน์ (20 ธันวาคม พ.ศ. 2447-26 สิงหาคม พ.ศ. 2461)
- หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี พระวรชายา (26 สิงหาคม พ.ศ. 2461-26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468)
- สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี (26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468-22 พฤษภาคม พ.ศ. 2527)
[แก้] เครื่องราชอิสริยยศราชูปโภค
ในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ. 2468 นั้น พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องราชอิสริยยศราชูปโภคสำหรับตำแหน่งสมเด็จพระอัครมเหสีให้แก่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี โดยเครื่องราชอิสริยยศราชูปโภคเหล่านี้เป็นสิ่งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างขึ้นสำหรับพระราชทานให้แก่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พระพันปีหลวง ประกอบด้วย[9]
- พานพระศรี (พานใส่หมากพลู) ทองคำลงยา
- กาน้ำทองคำลงยา
- ขันน้ำพระสุธารสเย็น พร้อมจอกลอยทองคำลงยา
- หีบพระศรีทองคำลงยา พร้อมพานรอง
- พระสุพรรณศรี (กระโถนเล็ก)ทองคำลงยา
- ขันสรงพระพักตร์ทองคำลงยา พร้อมคลุมปัก
- พระฉาย (กระจกส่องหน้า) ทองคำลงยา
- พานเครื่องพระสำอาง พร้อมพระสางวงเดือน พระสางเสนียด และพระกรัณฑ์ทองคำลงยา สำหรับบรรจุเครื่องพระสำอาง
- ราวพระภูษาซับพระพักตร์ทองคำลงยารูปพญานาค พร้อมผ้าซับพระพักตร์จีบริ้วพาดที่ราว 2 ผืน
[แก้] เครี่องราชอิสริยาภรณ์
[แก้] เครี่องราชอิสริยาภรณ์ไทย
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ดังต่อไปนี้[9]
- เครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์
- เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์
- เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้น 1 ปฐมจุลจอมเกล้า (ฝ่ายใน)
- เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 6 ชั้นที่ 1
- เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 7 ชั้นที่ 1
- เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 9 ชั้นที่ 1
[แก้] เครี่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ
นอกจากนี้สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ยังทรงได้รับเครี่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ ดังต่อไปนี้
- Grand Crodon of the Order of the Precious Crown จากประเทศญี่ปุ่น
- Grand Cross and Star of the Order of Beneficence จากประเทศกรีซ
[แก้] ราชตระกูล
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี |
พระชนก: สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ |
พระอัยกาฝ่ายพระชนก: พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว |
พระปัยกาฝ่ายพระชนก: พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย |
พระปัยยิกาฝ่ายพระชนก: สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี |
|||
พระอัยยิกาฝ่ายพระชนก: สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา (เจ้าจอมมารดาเปี่ยม) |
พระปัยกาฝ่ายพระชนก: หลวงอาสาสำแดง (แตง) |
||
พระปัยยิกาฝ่ายพระชนก: ท้าวสุจริตธำรง (นาค สุจริตกุล) |
|||
พระชนนี: พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภาพรรณี |
พระอัยกาฝ่ายพระชนนี: พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าคัคณางคยุคล กรมหลวงพิชิตปรีชากร |
พระปัยกาฝ่ายพระชนนี: พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว |
|
พระปัยยิกาฝ่ายพระชนนี: เจ้าจอมมารดาพึ่ง |
|||
พระอัยยิกาฝ่ายพระชนนี: หม่อมสุ่น คัคณางค์ ณ อยุธยา |
พระปัยกาฝ่ายพระชนนี: ไม่ทราบ |
||
พระปัยยิกาฝ่ายพระชนนี: ไม่ทราบ |
[แก้] อ้างอิง
- ^ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี จาก เว็บไซต์รากฐานไทย ฐานข้อมูลเพื่อการพัฒนาประเทศ
- ^ พระชายาในสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนศุโขทัยธรรมราชา จาก เว็บไซต์วังสวนบ้านแก้วดอตคอม
- ^ สำนักพระราชวัง, พระราชวังบางปะอิน, พิมพ์ครั้งที่ 1, พ.ศ. 2548
- ^ ราชกิจจานุเบกษา, พระบรมราชโองการ ประกาศ สถาปนาสมเด็จพระบรมราชินี, เล่ม ๔๒, ตอน ๐ ก, ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๘, หน้า ๓๕๕
- ^ ทรงพระประชวร จาก เว็บไซต์วังสวนบ้านแก้วดอตคอม
- ^ วันแห่งความโศกสลดอันใหญ่หลวงจาก เว็บไซต์วังสวนบ้านแก้วดอตคอม
- ^ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้สถานที่ราชการลดธงครึ่งเสา เนื่องในการที่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ ๗ สวรรคต, เล่ม ๑๐๑, ตอน ๖๗ ง ฉบับพิเศษ, ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๗, หน้า ๓
- ^ ราชกิจจานุเบกษา, หมายกำหนดการ ที่ ๔/๒๕๒๘ ถวายพระเพลิงพระบรมศพ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ ๗ ณ พระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง เมษายน พุทธศักราช ๒๕๒๘, เล่ม ๑๐๒, ตอน ๔๓ ง ฉบับพิเศษ, ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๘, หน้า ๑
- ^ 9.0 9.1 พระราชประวัติสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7, หนังสืออนุสรณ์งานพระบรมศพทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์พระราชทานประชาชนในงานพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ณ พระเมรุมาศท้องสนามหลวง วันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2528