สโมสรฟุตบอลเอฟเวอร์ตัน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

Everton Football Club
Everton Football Club
ชื่อเต็ม Everton Football Club
ฉายา The Toffees, The Blues
ก่อตั้ง ค.ศ. 1878
สนามกีฬา กูดิสันพาร์ค
ลิเวอร์พูล
(ความจุ: 40,260 คน)
ประธาน บิลล์ เคนไรต์
ผู้จัดการ เดวิด มอยส์
ลีก เอฟเอ พรีเมียร์ลีก
2007-08 พรีเมียร์ลีก อันดับที่ 5
สีชุดทีมเหย้า
สีชุดทีมเยือน
สีชุดที่สาม
เวย์น รูนีย์ เมื่อครั้งอยู่กับเอฟเวอร์ตัน

สโมสรฟุตบอลเอฟเวอร์ตัน เป็นสโมสรฟุตบอลหนึ่งในเมืองลิเวอร์พูล ก่อตั้งเมื่อ ค.ศ. 1878 เป็นสโมสรที่มีประวัติอันยาวนานมากที่สุดสโมสรหนึ่งในอังกฤษ ลงเล่นลีกสูงสุดถึง 103 ฤดูกาล (จาก 107 ฤดูกาล) และเคยชนะด้วยคะแนนมากที่สุดในลีกสูงสุดของประเทศ

เอฟเวอร์ตันเป็นคู่ปรับร่วมเมืองของสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล สนามประจำทีมเอฟเวอร์ตันชื่อ กูดิสัน พาร์ค ซึ่งห่างจากสนามของลิเวอร์พูลเพียงแค่สวนสาธารณะกั้น แฟนบอลชาวไทยตั้งฉายาให้ว่า ท็อฟฟี่สีน้ำเงิน ปัจจุบันอยู่ภายใต้การทำทีมของเดวิด มอยส์

เนื้อหา

[แก้] ประวัติสโมสร

สโมสรฟุตบอลเอฟเวอร์ตันเป็นสโมสรฟุตบอลที่เก่าแก่แห่งหนึ่งของประเทศอังกฤษ ก่อตั้งขึ้นในปี 1878 โดยใช้ชื่อว่า เซนต์โดมิงโก เอฟซี ตามชื่อโบสถ์แห่งหนึ่งในเมืองลิเวอร์พูล และเปลี่ยนชื่อเป็น เอฟเวอร์ตัน เอฟซี ในปี 1884 และใช้สนามแอนฟิลด์ โรด เป็นสนามเหย้า โดยมี จอห์น โฮลดิง ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองลิเวอร์พูลและสมาชิกสภาผู้แทนพรรคอนุรักษ์นิยม เป็นประธานสโมสร

เอฟเวอร์ตัน คว้าแชมป์แรกได้ในฤดูกาล 1890-1891 ซึ่งในปีนั้น "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" มีชุดทีมเป็นเสื้อสีชมพูอ่อน กางเกงสีฟ้า ถุงเท้าสีฟ้า และต่อมากลุ่มแฟนบอล เอฟเวอร์ตัน ได้เรียกร้องให้ใช้เสื้อสีน้ำเงิน กางเกงสีขาว ถุงเท้าสีขาว เป็นชุดประจำสโมสรมาจนถึงปัจจุบัน

เมื่อวันที่ 15 มี.ค.1892 ผู้บริหารสโมสรได้ตัดสินใจปลด จอห์น โฮลดิง ออกจากตำแหน่งและได้ย้ายทีมเอฟเวอร์ตันไปยังฝั่งตะวันตกของ สแตนลีย์ ปาร์ค ซึ่งในสมัยนั้นเรียกพ้นที่บริเวณนั้นว่า กรีน เมอร์ ต่อมาสนามแห่งนั้นถูกเรียกชื่อตามถนน เป็น กูดิสัน ปาร์ค จนถึงปัจจุบัน

ในฤดูกาล 1893-1894 แจ็ค เซาธ์เวิร์ธ เป็นดาวยิงสูงสุดของลีกอังกฤษ ด้วยจำนวน 27 ประตู ซึ่งอดีตนักเตะ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ รายนี้ถือเป็นดาวซัลโวสูงสุดรายแรกของเอฟเวอร์ตัน

ฤดูกาล 1927-1928 (หลังสงครามโลกครั้งที่ 1)เอฟเวอร์ตัน ได้สร้างสถิติที่ไม่มีใครลบได้จนถึงปัจจุบัน เมื่อ ดิ๊กซี่ ดีน กองหน้าชาวอังกฤษ ผลิตสกอร์ให้กับสโมสรได้ถึง 60 ประตูในหนี่งฤดูกาล และเป็นสถิติการทำประตูในหนึ่งฤดูกาลที่มากที่สุดในลีกอังกฤษ

เอฟเวอร์ตัน เริ่มต้นยุคใหม่ในปี 1961 (หลังสงครามโลกครั้งที่ 2)เมื่อได้จอห์น มัวส์ มหาเศรษฐีชาวเมืองลิเวอร์พูล ที่เป็นเจ้าของกิจการลิต เติลวูด พูล และ ธุรกิจการส่งของทางอากาศ เป็นประธานสโมสร โดยมี แฮร์รี แคทเทอร์ริค เป็นผู้จัดการทีม ซึ่ง เอฟเวอร์ตัน ยุคนั้นมี โฮเวิร์ด เคนดัลล์, อลัน บอลล์ และ โคลิน ฮาร์วีย์ เป็นกำลังสำคัญซึ่งทั้ง 3 พาทีมครองแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษได้อีกครั้งในฤดูกาล 1962-1963 ก่อนที่ แฮร์รี แคตเทอร์ริค จะลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมเนื่องจากมีปัญหาด้านสุขภาพ

หลังจากนั้น บิลลี บิงแฮม ได้ทำหน้าที่ผู้จัดการทีมแทน แคตเทอร์ริค แต่เอฟเวอร์ตัน ก็ไม่เคยคว้าแชมป์ได้เลยตลอดระยะเวลา 3 ปีที่คุมทีม จนในที่สุดบอร์ดบริหารได้ตัดสินใจปลด บิงแฮม ออกจากตำแหน่ง และแต่งตั้ง กอร์ดอน ลี มารับตำแหน่งแทน แต่ผลงานโดยรวมของ เอฟเวอร์ตัน ก็ไม่ดีขึ้นแต่งอย่างใด

ในช่วงทศวรรษที่ 1980-1990 เป็นการกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งของทีมสีน้ำเงิน เมื่อ ฟิลิป คาร์เตอร์ เข้ามารับตำแหน่งประธานสโมสร แทนที่จอห์น มัวร์ส และได้ดึง โฮเวิร์ด เคนดัลล์ เป็นผู้จัดการทีม โดยที่ เคนดัลล์ นำความสำเร็จมาสู่เอฟเวอร์ตันอีกครั้ง โดยพาทีมคว้าแชมป์ เอฟ เอ คัพ ในปี 1984 และสามารถเอาชนะลิเวอร์พูลในศึกแชริตี้ ชิลด์ ปีถัดมายังได้แชมป์ดิวิชั่น1 มาครอง ในปี 1984-1985 โดยทิ้งลิเวอร์พูลอันดับ 2 ถึง 13 แต้ม และคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนส์คัพวินเนอร์คัพมาครอง ด้วยการ ถล่มบาร์เยิร์น มิวนิค 3-1

ทศวรรษที่ 1990 เอฟเวอร์ตัน ได้มีการเปลี่ยนแปลงประธานสโมสรอีกครั้งโดยมี ปีเตอร์ จอห์นสัน เข้ามาบริหารงาน และได้มีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมเป็น โจ รอยส์ , โคลิน ฮาร์วีย์ และ โฮเวิร์ด เคนดัลล์ ซึ่งทั้งหมดคือดีตนักเตะของทีมนั่นเอง แต่ผลงานของทีมก็ไม่ดีขึ้น ซึ่งตลอดระยะเวลาดังกล่าวทีมได้แชมป์ เอฟ เอ คัพ ในปี 1995 เท่านั้น

จนกระทั่งปี 1999 บิลล์ เคนไรท์ ได้เข้ามารับตำแหน่งประธานสโมสรและได้แต่งตั้ง วอลเตอร์ สมิธ เป็นผู้จัดการทีม จนถึงปี 2002 เอฟเวอร์ตัน ก็ได้ตัว เดวิด มอยส์ เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ โดยในฤดูกาลแรก เดวิดมอยส์ พาเอฟเวอร์ตัน หนีตกชั้นได้สำเร็จโดยจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 15 ฤดูกาลต่อมาก็พาทีม สร้างผลงานอันสุดยอดโดยการ จบฤดูกาลด้วยอันดับ 7 แม้ว่าฤดูกาลต่อมานักเตะจะเล่นด้วยความรู้สึกเหมือนไร้หัวใจ จนเกือบตกชั้นโดยมีคะแนนอยุ่เหนือโซนตกชั้น เพียง 3 คะแนน และเริ่มฤดูกาล 2003-2004 โดยการสูญเสียดาวยิงที่เป็นความหวังของทีม อย่าง เวน รูนี่ย์ ไปให้แก่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด แต่เดวิดมอยส์กลับสร้าง เซอร์ไพร์ ด้วยการพาทีมจบฤดูกาล ด้วยอันดับที่ 4 คว้า ตั๋วใบสุดท้าย ไปเล่น แชมเปียนลีกรอบคัดเลือก และสร้างความหวังให้แก่สาวกของเอฟเวอร์โตเนี่ยนทั้งปวง แต่ต้องผิดหวัง เมื่อไม่ผ่านรอบคัดเลือก แถมยัง กระเด็นตกรอบยูฟ่าคัพอีกด้วย และเป็นฤดูกาลที่น่าเจ็บ ปวด เมื่อพบว่า ฤดูกาล 2004 - 2005 นั้นไม่เป็นอย่างที่หวัง เพราะเอฟเวอร์ตันออกตัวได้อย่างย่ำแย่ โดยไม่เหลือเค้าทีมที่เคยคว่าอันดับ 4 เมื่อฤดูกาลก่อน จนมีเสียงวิพากวิจารณ์การทำงานของเดวิดมอยส์ และเสียงเรียกร้องจากแฟนบอลทั่วโลกให้ปลดมอยส์ออก แต่อย่างไรก็ตาม บร์อดบริหาร ยังคงไว้ใจให้เขาทำหน้าที่ผู้จัดการทีมต่อไป และ เดวิดมอยส์ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นความสามารถที่แท้จริงของเขา เมื่อสามารถทำให้เอฟเวอร์ตัน จบฤดูกาล ได้ด้วยอันดับที่ 11 ฤดูกาล 2006-2007 เอฟเวอร์ตัน ยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตัวเองให้กลายเป็นทีมระดับต้นๆของอังกฤษ ภายใต้การทำทีมของเดวิดมอยส์ เขาเสาะหานักเตะฝีเท้าดีราคาถูกเข้ามาสู่ทีม อย่างไม่ขาดสาย และผลงานของเอฟเวอร์ตันดีวันดีคืน จนกระทั่ง สามารถ จบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 6 คว่าโควต้าไปเล่น ยูฟ่าคัพได้สำเร็จ และ และเริ่มต้นฤดูกาลด้วยความร้อนแรง จนสร้างความหวังให้แก่สาวกเอฟเวอร์โตเนี่ยน ว่า ความยิ่งใหญ่กำลังจะกลับมา และทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ใน ถ้วย ยูฟ่า คัพ ด้วยการผ่านรอบแบ่งกลุ่ม ด้วยการเก็บ 12 คะแนนเต็ม เดวิด มอยส์ทำหน้าที่ผู้จัดการทีมได้อย่างยอดเยี่ยมมาจนถึงปัจจุบัน และกล้าประกาศตัวที่จะคว้าโควต้า ไปเล่น ฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปียน ลีก โดยการจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 4 เป็นอย่างน้อย ซึ่ง พัฒนาการของทีมที่เห็นเป็นรูปธรรมนั้น ทำให้แฟนบอลเชื่อมั่นว่า เอฟเวอร์ตันกำลังเข้าสู่ยุครุ่งเรือง เมื่อเดวิด มอยส์ ส่งสัญญาณการคุมทีมระยะยาว โดยการคัดเลือกดาวรุ่งฝีเท้าดีเข้ามาเติมเต็มถิ่นกูดิสัน ปาร์กอย่างต่อเนื่อง ภายใต้วิสัยทัศน์ และสติปัญญาของเดวิดมอยส์ ที่ เน้นคุณภาพ ในราคาประหยัด ตามลักษณะนิสัยโดยทั่วไปของชาวสก๊อต นั่นทำให้ เอฟเวอร์ตันเป็นอีกทีมหนึ่งที่มีอนาคตสดใสทีเดียวและในฤดูกาล2008-2009 เอฟเวอร์ตันสามารถผ่านเข้าไปรอบชิงชนะเลิศฟุตบอล เอฟเอคัพได้สำเร็จแต่ก็พลาดท่าแพ้เชลซีไป2-1และจบฤดูกาลได้อันดับ5ได้โควตาไปเล่นยูฟ่าคัพซึ่งทำให้ความคาดหวังของแฟนเชียร์สูงขึ้นมากแต่ในฤดูกาล2009/2010 เอฟเวอร์ตันเริ่มนัดแรกด้วยการแพ้อาร์เซนอลชนิดว่าไม่มีลุ้น6-1 ทำให้มอยส์เริ่มดึงตัวนักเตะราคาแพงอย่าง ดินิยาร์ บิลยาเลตดินอฟ ปีกทีมชาติรัสเซีย จอห์น ไฮติงก้า กองหลังทีมชาติฮอลแลนด์ เป็นต้น และเอฟเวอร์ตันก็ผลงานดีขึ้นเรื่อยๆซึ่งในฤดูกาลนี้มีสิ่งที่น่าจดจำคือหลุยส์ซาฮา อดีตกองหน้าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยิง 2ประตูให้เอฟเวอร์ตันพลิกชนะเชลซี 2-1พร้อมกับการแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวของแจ็ค ร็อดเวลล์และแดน กอสลิ่ง2ดาวรุ่งของเอฟเวอร์ตันซึ่งยิงให้ทีมชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3-1 โดยในเกมส์ดังกล่าวดินิยาร์ บิลยาเลตดินอฟ ได้ทำประตูด้วยซึ่งทั้งสองเกมส์เกิดขึ้นในสองสัปดาห์ติดกัน

[แก้] ผู้เล่นชุดปัจจุบัน

Note: ธงชาติที่ปรากฎบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่า ตามความเหมาะสม เพราะบางผู้เล่นอาจถือสองสัญชาติ

หมายเลข ตำแหน่ง ผู้เล่น
1 Flag of อังกฤษ GK คาร์โล แนช
2 Flag of อังกฤษ DF โทนี่ ฮิบเบิร์ต
3 Flag of อังกฤษ DF เลห์ตัน เบนส์
4 Flag of ไนจีเรีย DF โจเซฟ โยโบ
6 Flag of อังกฤษ MF ฟิล จากีลก้า
7 Flag of รัสเซีย MF ดินิยาร์ บิลยาเลตตินอฟ
9 Flag of ฝรั่งเศส FW หลุยส์ ซาฮา
10 Flag of สเปน MF มิเคล อาร์เตต้า
11 Flag of บราซิล FW โช
12 Flag of อังกฤษ GK เอียน เทอร์เนอร์
14 Flag of อังกฤษ FW เจมส์ วอห์น
15 Flag of ฝรั่งเศส DF ซิลแว็ง ดิสแต็ง
17 Flag of ออสเตรเลีย MF ทิม เคฮิลล์
18 Flag of อังกฤษ MF ฟิล เนวิลล์ (กัปตันทีม)
19 Flag of อังกฤษ MF แดน กอสลิ่ง
20 Flag of สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ MF สตีเว่น พีนาร์
21 Flag of อังกฤษ MF ลีออน ออสแมน
22 Flag of ไนจีเรีย FW ยาคูบู ไอเย็กเบนี่
24 Flag of the United States GK ทิม ฮาวเวิร์ด
25 Flag of เบลเยียม MF มารูยาน เฟลไลน์นี่
26 Flag of อังกฤษ DF แจ็ค ร็อดเวลล์
28 Flag of ไนจีเรีย FW วิคเตอร์ อนิเชเบ้
Flag of ออสเตรเลีย DF ลูคัส นิลล์
Flag of the Netherlands DF จอร์นนี่ ไฮติงก้า

[แก้] สตาฟฟ์โค้ชประจำสโมสร

  • ประธานสโมสร - Bill Kenwright
  • รองประธานสโมสร - Jon Woods
  • หัวหน้าผู้บริหาร - Keith Wyness
  • ผู้จัดการทีม - David Moyes
  • ผู้ช่วยผู้จัดการทีม - Steve Round
  • ผู้จัดการทีมสำรอง - Andy Holden
  • ผู้ฝึกสอนทีมชุดใหญ่ - Jimmy Lumsden
  • ผู้ฝึกสอนผู้รักษาประตู - Chris Woods
  • สตาฟฟ์โค้ชผู้ฝึกสอน - Alan Stubb
  • แพทย์ประจำสโมสร - Ian Irving
  • นักกายภาพบำบัด Mick Rathbone
  • หมอนวด - Jimmy Comer
  • หัวหน้าฟิตเนสโค้ช - Dave Billows
  • ฟิตเนสโค้ช - Kyle Thorne
  • เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลห้องแต่งตัว - Jimmy Martin
  • เจ้าหน้าที่ประสานงานนักฟุตบอล - Bill Ellaby

[แก้] ทำเนียบผู้จัดการทีมเอฟเวอร์ตัน

อันดับ ชื่อ ฤดูกาล จำนวนเกม เปอร์เซ็นต์คุมทีมชนะ
1 Theo Kelly 1939 - 1948 102 47
2 Cliff Briton 1948 - 1956 339 50
3 Ian Buchan 1956 - 1958 99 43
4 Johnny Carey 1958 - 1961 122 51
5 Harry Catterick 1961 - 1973 594 60
6 Billy Bingham 1973 - 1977 172 53
7 Steve Burtenshaw 1977 - 1977 1 50
8 Gordon Lee 1977 - 1981 234 55
9 Howard Kendall 1981 - 1987 338 66
10 Colin Harvey 1987 - 1990 174 57
11 Howard Kendall 1990 - 1993 122 51
12 Mike Walker 1994 - 1994 34 32
13 Joe Royle 1994 - 1997 119 55
14 Howard Kendall 1997 - 1998 42 42
15 Walter Smith 1998 - 2002 168 46
16 David Moyes 2002 - present 228 51


[แก้] นักเตะยอดเยี่ยมตลอดกาลของเอฟเวอร์ตัน

ดาวซัลโว 60 ประตูต่อ 1 ฤดูกาล

[แก้] ดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาล

  • ดิ๊กซี่ ดีน ลงสนามฤดูกาล 1920 - 1929 ลงเล่น 433 แมตช์ ทำได้ 383 ประตู

[แก้] ทำเนียบนักเตะระดับตำนานของทีม

อันดับ ชื่อ ฤดูกาลที่ร่วมทีม จำนวนเกม ประตู ตำแหน่ง
1 ปีเตอร์ รีด 1982 - 1989 234 13 MF
2 Graeme Sharp 1979 - 1991 447 159 FW
3 Joe Royle 1966 - 1974 275 119 FW
4 Kevin Ratcliffe 1980 - 1991 461 2 CB
5 Ray Wilson 1964 - 1969 116 0 LB
6 Alan Ball 1966 - 1971 208 66 MF
7 Howard Kendall 1967 - 1974 229 21 MF
8 Dave Watson 1990 - 1999 524 28 CB
9 เนวิลล์ เซาท์ธอลล์ 1980 - 1989 751 0 GK
10 Bob Latchford 1970 - 1979 289 138 FW
11 Alex Young 1960 - 1969 273 87 FW
12 Dave Hickson 1950 - 1959 243 111 FW
13 Thomas George Jones 1940 - 1949 178 5 CB
14 Ted Sagar 1930 - 1939 499 0 GK
15 ดิ๊กซี่ ดีน 1920 - 1929 433 383 FW
16 Sam Chedgzoy 1910 - 1919 300 36 MF
17 Jack Sharp 1900 - 1909 342 80 MF
18 Colin Harvey 1963 - 1974 384 24 MF

[แก้] เกียรติประวัติ

  • 1890–91, 1914–15, 1927–28, 1931–32, 1938–39, 1962–63, 1969–70, 1984–85, 1986–87
  • 1906, 1933, 1966, 1984, 1995
  • 1928, 1932, 1963, 1970, 1984, 1985, 1986 (shared), 1987, 1995
  • 1985
  • 1930–31
  • 1965, 1984, 1998
  • 1884, 1886, 1887, 1890, 1891, 1892, 1894, 1895, 1896, 1898, 1899, 1900, 1904, 1906, 1908, 1910 (shared), 1911, 1912 (shared), 1914, 1919, 1921, 1922, 1923, 1924, 1926, 1928, 1934 (shared), 1936 (shared), 1938, 1940, 1945, 1953, 1954, 1956, 1957, 1958 (shared), 1959, 1960, 1961, 1982 (shared), 1983, 1996, 2003, 2005, 2007.

[แก้] แหล่งข้อมูลอื่น