สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ชื่อเต็ม | Manchester United Football Club | |||
---|---|---|---|---|
ฉายา | ปิศาจแดง | |||
ก่อตั้ง | ค.ศ. 1878 | |||
สนามกีฬา | โอลด์แทรฟฟอร์ด แมนเชสเตอร์ (ความจุ: 76,212 คน) |
|||
เจ้าของ | Malcolm Gelzer | |||
ประธาน | เดวิด กิลล์ โจเอล เกลเซอร์ อัฟราม เกลเซอร์ |
|||
ผู้จัดการ | เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน | |||
ลีก | เอฟเอ พรีเมียร์ลีก | |||
2009-10 | พรีเมียร์ลีก อันดับ 2 | |||
|
สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (Manchester United Football Club) เป็นสโมสรฟุตบอลที่มีชื่อเสียงของอังกฤษ มีสนามเหย้าคือโอลด์แทรฟฟอร์ดในเมืองแมนเชสเตอร์ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จสูงสโมสรหนึ่ง โดยชนะเลิศแชมป์ลีก 18 ครั้ง (เอฟเอ พรีเมียร์ลีก/ดิวิชัน 1) ชนะเอฟเอคัพ 11 ครั้ง ลีกคัพ 3 ครั้ง ยูโรเปี้ยนคัพ/ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 3 ครั้ง และชนะ ยูฟ่า คัพ วินเนอร์สคัพ อินเตอร์เนชันแนลคัพ และ ยูโรเปียนซูเปอร์คัพ อย่างละ 1 ครั้ง แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเป็นสโมสรกีฬาที่ได้รับความนิยมสูง โดยมีผู้สนับสนุนถึง 50 ล้านคนทั่วโลก[1]โดยแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดมีสถิติผู้เข้าชมมากที่สุดในฟุตบอลอังกฤษตลอด 34 ฤดูกาล ยกเว้นในฤดูกาล 1987-89 ที่ปรับปรุงสนามโอลด์แทรฟฟอร์ด[2] แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเป็นสโมสรหนึ่งในกลุ่มจี-14
ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2534 สโมสรได้ดำเนินกิจการในรูปแบบบริษัทจำกัดมหาชน อย่างไรก็ตาม ในปีพ.ศ. 2548 มัลคอล์ม เกลเซอร์ได้เทคโอเวอร์แบบไม่เป็นมิตรเป็นผลสำเร็จ และนำสโมสรออกจากตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน[3]
เนื้อหา |
ประวัติศาสตร์สโมสร
อ้างอิงตามชื่อฤดูกาล ซึ่งเป็นปี ค.ศ.
สโมสรในช่วงแรก (1878-1945)
สโมสรในช่วงแรก (1878-1945) สโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดก่อตั้งโดยกลุ่มพนักงานกรรมกรในเหมืองแร่ถ่านหินในเมืองแมนเชสเตอร์ โดยในตอนแรกนั้นเป็นเพียงแค่สโมสรชั้นต่ำที่ทำการแข่งขันกันระหว่างคนงานด้วยกัน ต่อมามีพนักงานคนหนึ่งชื่อ J.C. Kuya เป็นคนผิวดำ มีเชื้อชาติแอฟริกัน ได้ออกมาประกาศว่าสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดจะก้าวไปเป็น 1 ในสโมสรที่ดีที่สุดในโลกในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งจากคำพูดนี้ทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นอย่างมากภายในกลุ่มคนงานด้วยกัน เนื่องจาก Kuya นั้น เป็นเพียงแค่ตัวสำรองในทีมซะเป็นส่วนใหญ่ แต่กลับกล้าออกความเห็นในที่สาธารณะ ซึ่งควรจะเป็นสิทธิของคนที่เป็นกัปตันทีม ซึ่งในขณะนั้น คือ Donny Dever ชาวอังกฤษโดยกำเนิด มีภูมิลำเนาเดิมอยู่แถบเมืองลิเวอร์พูล แต่เนื่องจากตกงานเป็นเวลานานจึงระหกระเหเร่ร่อนออกมาเป็นคนงานเหมืองแร่ในแถบเมืองแมนเชสเตอร์ ความขัดแย้งในครั้งนี้รุนแรงมากถึงขนาดมีการแบ่งแยกออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มคนขาว นำโดย Dever และกลุ่มคนดำ นำโดย Kuya ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สโมสรเลยทีเดียว โดยมีผู้เสียชีวิตมากเกือบร้อยคน แต่เรื่องนี้กลับถูกปิดเป็นความลับที่มีน้อยคนนักที่ได้รู้
ยุคของเซอร์ แมตต์ บัสบี้ (1945-1969)
แมตต์ บัสบี้ได้เข้ามาคุมทีมในปี 1945 เขาได้นำความสำเร็จมาสู่สโมสรได้อย่างรวดเร็ว โดยได้อันดับสองของฟุตบอลลีกในปี 1947 และชนะเลิศเอฟเอ คัพในปีต่อมา
บัสบี้เป็นคนที่ดึงนักเตะจากทีมเยาวชนขึ้นมาหลายคน จนได้แชมป์ลีกในปี 1956 ด้วยอายุเฉลี่ยของนักเตะเพียง 22 ปีเท่านั้น ในปีต่อมา เขาก็ได้พาทีมเป็นแชมป์ลีกอีกครั้ง และยังเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ แต่ไปไม่ถึงดวงดาวโดยการแพ้ต่อแอสตัน วิลลา แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเป็นทีมแรกของอังกฤษที่ได้เข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลยูโรเปี้ยนคัพ และยังได้เข้าถึงรอบรองชนะเลิศอีกด้วย
ในปี 1958 ได้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่ของสโมสร เมื่อเครื่องบินที่บรรทุกนักเตะและทีมงานของสโมสร ที่กลับจากการไปแข่งขันยูโรเปียนคัพรอบก่อนรองชนะเลิศกับทีมเรดสตาร์ เบลเกรด ซึ่งแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดสามารถผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศแล้วได้ประสบอุบัติเหตุที่สนามบินในเมืองมิวนิค หลังจากแวะพักเครื่องบินที่เมืองมิวนิค ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ เวลาประมาณบ่าย 3 โมง เหตุการณ์ครั้งนั้นได้คร่าชีวิตนักเตะของทีมไปถึง 8 คน รวมถึงทีมงานสต๊าฟโค้ชและผู้โดยสารคนอื่นอีก 15 คน รวมเป็น 23 คน หนึ่งในคนที่เสียชีวิตในครั้งนี้ คือ ดันแคน เอ็ดเวิร์ด นักเตะดาวรุ่งพรสวรรค์สูงสุดในขณะนั้น จากเหตุการณ์ครั้งนี้ มีผู้คาดว่าจะเป็นจุดตกต่ำของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด แต่จิมมี เมอร์ฟีได้เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมในช่วงที่บัสบี้กำลังรักษาอาการบาดเจ็บ และใช้ตัวผู้เล่นแก้ขัดไปหลายตำแหน่ง แต่ทีมก็ยังสามารถเข้าชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพได้อีกครั้ง โดยครั้งนี้พ่ายต่อโบลตันทำให้ได้เพียงรองแชมป์เท่านั้น
หลังจากรักษาตัวเองแล้ว บัสบี้ได้ปรับปรุงทีมในช่วงต้นของทศวรรษ 60 โดยการเซ็นสัญญาคว้านักเตะอย่าง เดนิส ลอว์ กับ แพท ครีแลนด์มาเสริมทีม แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดก็ชนะเลิศฟุตบอลเอฟเอ คัพในปี 1963 และได้แชมป์ฟุตบอลลีกในปี 1965 และ 1967 นอกจากนี้ ยังได้แชมป์ฟุตบอลยูโรเปี้ยนคัพเป็นสโมสรแรกของอังกฤษในปี 1968 ซึ่งเป็นระยะเวลาเพียง 10 ปี เท่านั้นหลังจากเกิดเหตุโศกนาฏกรรมที่มิวนิค ที่ทำให้ทีมต้องสูญเสียผู้เล่นตัวหลักไปถึง 8 คน และจากความยอดเยี่ยมของทีมชุดนี้ ทำให้มีนักเตะ 3 คนด้วยกัน ที่สามารถคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของยุโรป (บัลลงดอร์) ได้แก่เดนิส ลอว์ ได้รับรางวัลในปี 1964 คนที่สองคือบ๊อบบี้ ชาร์ลตันได้รับในปี 1966 หลังจากพาทีมชาติอังกฤษคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกครั้งแรกและครั้งเดียวของพวกเค้า และจอร์จ เบสต์ได้รับรางวัลในปี 1968 หลังจากโชว์ฟอร์มอันยอดเยี่ยมพาแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคว้าแชมป์ฟุตบอลยูโรเปียน คัพเป็นครั้งแรกของสโมสรและครั้งแรกของอังกฤษ
บัสบี้ได้ลาออกจากการเป็นผู้จัดการทีมในปี 1969 โดยมีวิฟ แมคกินเนสโค้ชทีมสำรองทำหน้าที่แทน
1969-1986
สโมสรได้พยายามหาตัวแทนที่เหมาะสมของบัสบี โดยใช้ผู้จัดการทีมไปหลายคน ได้แก่ วิฟ แมคกิวเนส, แฟรงค์ โอนีล ก่อนที่ ทอมมี โดเคอร์ตี้เข้ามาคุมทีมในปี 1972 เขาได้ช่วยทีมให้รอดจากการตกชั้น แต่อย่างไรก็ดี ทีมก็ได้ตกชั้นลงไปในปี 1974 แต่สโมสรก็ได้เลื่อนชั้นขึ้นมาทันทีในปีถัดไป และยังได้เข้าชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพในปีต่อมาอีกด้วย จากนั้นก็ได้เข้าชิงชนะเลิศอีกครั้งในปี 1977 โดยครั้งนี้สามารถคว้าแชมป์ได้โดยการเอาชนะทีมลิเวอร์พูล เป็นการดับความหวังการคว้าสามแชมป์ในปีเดียวกันของหงส์แดงลงไป ถึงเขาจะทำหน้าที่ได้ดี แต่ก็ถูกไล่ออกหลังจากรอบชิงชนะเลิศปีนั้นเนื่องจากมีข่าวพัวพันกับภรรยาของนักกายภาพบำบัด
เดฟ เซกซ์ตันได้เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมต่อในฤดูกาล 1977-1978 และเปลี่ยนระบบการเล่นของทีมให้เน้นเกมรับมากขึ้น ระบบนี้ทำให้แฟนบอลไม่ค่อยพอใจมากนัก หลังจากทำทีมไม่ประสบความสำเร็จ เขาถูกไล่ออกในปี 1981
รอน แอคคินสันได้เข้ามาทำหนาที่นี้แทน เมื่อเขาเข้ามาก็ได้ทำลายสถิติซื้อขายสูงสุดของอังกฤษโดยการคว้าตัวไบรอัน ร็อบสัน มาจากเวสต์บรอมวิช รวมถึง การคว้าตัว เจสเปอร์ โอลเซน และกอร์ดอน สตรัคคั่น ในขณะที่มีนักเตะอย่างมาร์ค ฮิวจส์ และนอร์แมน ไวท์ไซด์ที่ขึ้นมาจากทีมเยาวชนของสโมสร แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้แชมป์เอฟเอ คัพในปี 1983
ปี 1985 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดทำผลงานได้ดีในช่วงเปิดฤดูกาลโดยการชนะ 10 นัดรวด ทำให้มีคะแนนนำทีมอื่นถึง 10 คะแนนตั้งแต่ต้นฤดูกาล แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นทีมทำผลงานได้ไม่ดีและจบฤดูกาลด้วยอันดับ 4 ของลีก ผลงานในปีต่อมาก็ไม่ได้ดีขึ้น ทีมต้องหนีการตกชั้น ทำให้รอน แอคคินสันถูกไล่ออกไป
ยุคของ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน (1986-ปัจจุบัน)
อเล็กซ์ เฟอร์กูสันได้เข้ามาคุมทีมต่อ โดยในฤดูกาลแรกสโมสรจบฤดูกาลด้วยอันดับ 11 แต่ในปีต่อมาก็ได้อันดับสองโดยไบรอัน แมคแคลร์ทำประตูได้ถึง 21 ประตู เป็นคนแรกของทีมหลังจากที่จอร์จ เบสต์เคยทำได้มาก่อนหน้านี้
ในปี 1989 เฟอร์กูสันเกิดความยากลำบากในการคุมทีมขึ้น เนื่องจากตัวผู้เล่นหลายตัวที่เขานำเข้ามาในทีมไม่เป็นที่พอใจของแฟนบอล มีข่าวออกมาว่าสโมสรจะปลดเฟอร์กี้ออกจากการเป็นผู้จัดการทีมในช่วงต้นปี 1990 แต่การชนะนอตติ้งแฮม ฟอเรสต์ในรอบสาม ของเอฟเอ คัพ ก็ทำให้เขาสามารถคุมทีมต่อไปได้ จนคว้าแชมป์เอฟเอ คัพได้ในปีนั้น เป็นแชมป์แรกให้กับเขาในการคุมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
ฤดูกาล 1990-91 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดคว้าแชมป์คัพ วินเนอร์ส คัพ โดยการเอาชนะบาร์เซโลนา จากสเปน ในนัดชิงชนะเลิศ แต่ปีต่อมาทีมทำผลงานไม่ดีนักในพรีเมียร์ลีก
สโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ในลอนดอนเมื่อปี 1991 ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 18 ล้านปอนด์ จากนั้น สโมสรต้องเปิดเผยข้อมูลการเงินทั้งหมดสู่สาธารณะ
เอริค คันโตนาย้ายจากลีดส์ ยูไนเต็ดมาร่วมทีมเมื่อปี 1992 ส่งผลต่อความสำเร็จของทีมเป็นอย่างมาก ทำให้ทีมได้แชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนั้นทันที ซึ่งนับเป็นแชมป์ลีกหนแรกในรอบ 26 ปี นับจากที่ได้มาครั้งล่าสุดในปี 1967 ปีต่อมา ทีมได้ดับเบิลแชมป์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร แต่ในปี 1994 นั้นเอง แมตต์ บัสบี้ ตำนานกุนซือของได้เสียชีวิตลงในวันที่ 20 มกราคม
ฤดูกาล 1994-95 คันโตนาถูกสมาคมฟุตบอลอังกฤษลงโทษห้ามแข่งถึง 8 เดือน หลังจากที่ไปกระโดดถีบใส่แมทธิว ซิมมอนส์ แฟนบอลคริสตัล พาเลซ ปีนั้น แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้รองแชมป์ทั้งพรีเมียร์ลีกและเอฟเอ คัพ เฟอร์กูสันได้กระทำสิ่งที่ขัดใจแฟนบอลของทีมอีกครั้ง ด้วยการขายนักเตะสำคัญของทีมและดันนักเตะจากทีมเยาวชนขึ้นมาเล่นแทน แต่ปีนั้นทีมก็สามารถคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้อย่างน่ายกย่อง โดยเป็นทีมแรกของเกาะอังกฤษ ที่สามารถคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้เป็นสมัยที่สองซึ่งเว้นจากครั้งแรกที่ได้ดับเบิ้ลแชม์ในปี 1994 เพียงปีเดียว และสามารถที่จะลบคำสบประมาทที่ถูกปรามาสเอาไว้ว่าไม่สามารถที่จะประสบความสำเร็จใดๆได้ จากการผลักดันเด็กเยาวชนของทีมให้ขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่
สโมสรคว้าแชมป์ลีกอีกครั้งในปี 1997 จากนั้น เอริค คันโตนาได้ประกาศเลิกเล่นฟุตบอลด้วยวัยเพียง 30 ปีซึ่งเร็วกว่านักเตะคนอื่นๆ มาก ฤดูกาลทีมยังเริ่มต้นการแข่งขันได้ดี แต่มีปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนมามากจนทำให้จบฤดูกาลได้เพียงอันดับสองเท่านั้น
ปี 1998-99 ถือเป็นปีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร ด้วยการเป็นทีมแรกของอังกฤษที่คว้าทริปเปิลแชมป์ ซึ่งประกอบด้วยพรีเมียร์ลีก เอฟเอคัพ และยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีกได้ในฤดูกาลเดียวกันอย่างน่าประทับใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก โดยในนาทีสุดท้ายของเกมนั้น ทีมยังตามหลังบาเยิร์น มิวนิกอยู่ 1-0 แต่แล้วในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ 3 นาทีนั้น ทีมสามารถทำได้ถึงสองประตูพลิกกลับมาชนะ 2-1 ได้อย่างเหลือเชื่อจากเท็ดดี้ เชอริงแฮม และ "เพชรฆาตหน้าทารก" โอเล่ กุนนาร์ โซลชา
จากการคว้าสามแชมป์ ทำให้อเล็กซ์ เฟอร์กูสันได้รับการพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จากสมเด็จพระบรมราชินีนาถเอลิซาเบถที่ 2 เป็นท่านเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เพื่อตอบแทนผลงานที่สามารถสร้างชื่อเสียงและเกียรติประวัติให้แก่ประเทศ ซึ่งถือเป็นบุคคลที่ได้รับตำแหน่งท่านเซอร์คนที่ 3 ในประวัติศาสตร์ของสโมสร โดยผู้ที่ได้รับคนแรกคือ เซอร์แมตต์ บัสบี้ คนที่สองคือ เซอร์บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ตำนานของสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
หลังจากคว้าแชมป์ลีกในฤดูกาลที่ผ่านมา ในฤดูกาล 1999-2000 ถึง 2000-2001 ยูไนเต็ดสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ในวงการฟุตบอลอังกฤษโดยการแชมป์ลีก 3 ครั้งติดต่อกัน ซึ่งเป็นทีมทึ่ 3 ที่ทำได้ (ทีมที่ทำได้ก่อนหน้าคือทีมแรกอาร์เซนอลฤดูกาล 1932-33, 1933-34 และ 1934-35และลิเวอร์พูล) และในช่วงนั้นยูไนเต็ดได้คว้าตัวนักเตะสำคัญคือ กองหน้าชาวดัตช์ รุด ฟาน นิสเตลรอย ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็น 1 ในตำนานสโมสรที่ลงสนาม 220 นัด และยิงได้ถึง 150 ประตู และริโอ เฟอร์ดินานด์ กองหลังที่มีค่าตัวสูงถึง 30 ล้านปอนด์
แต่อย่างไรก็ดี ในปี 2001-2006 ยูไนเต็ดได้ประสบปัญหาหลายอย่าง อย่างแรกคือสโมสรไม่สามารถหาผู้รักษาประตูที่เป็นตัวตายตัวแทนของ ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล ได้ สโมสรได้เปลี่ยนผู้รักษาประตูมือ 1 หลายคน ไม่ว่าจะเป็นมาร์ค บอสนิช, ไรมอนด์ ฟาน เดอ ฮาว, มัสซิโม่ ตาอิบี้, พอล ราชุบก้า, แอนดี้ กอแร่ม, ฟาเบียง บาร์กเตซ, ทิม โฮเวิร์ด, รอย คาโรล, และ ริคาร์โด้ โลเปซ และปัญหาอีกอย่างหนึ่งคือมีผู้เล่นที่เป็นกำลังหลักจำนวนมากได้ออกจากสโมสรไม่ว่าจะเป็นยาป สตัม, เดวิด เบ็คแฮม, รอย คีน กัปตันทีม, หรือแม้กระทั่งรุด ฟาน นิสเตลรอย โดยมีสาเหตุมาจากการมีปัญหากับเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ทั้งสิ้น ในช่วง 5 ปีนี้ ยูไนเต็ดคว้าแชมป์ลีกเพียงครั้งเดียว (ฤดูกาล 2002-2003) และได้ถ้วยรางวัลอื่นๆ อีก 2 รายการ คือ เอฟเอคัพ (2003-2004) และ ลีกคัพ (2005-2006) เท่านั้น โดยใน 2 ฤดูกาลหลัง เชลซีได้เข้ามามีบทบาทเด่นในฟุตบอลลีกเนื่องมาจากการเข้าเทคโอเวอร์สโมสรของ โรมัน อบราโมวิช มหาเศรษฐีชาวรัสเซีย ทำให้เชลซีมีงบประมาณซื้อตัวผู้เล่นไม่จำกัดและคว้าแชมป์ลีก 2 ปีติดต่อกัน
ต่อมาในปี 2006-2008 อเล็กซ์ เฟอร์กูสันได้ผ่าตัดทีมใหม่อีกครั้ง โดยมีแกรี่ เนวิลล์ เป็นกัปตันทีมคนใหม่ที่รับตำแหน่งกัปตันแทน รอย คีน 11 ผู้เล่นของยูไนเต็ดมีความลงตัวกว่าปีที่ผ่านๆ มา ผู้เล่นที่โดดเด่นมี เอ็ดวิน ฟาน เดอ ซาร์ ผู้รักษาประตูทีมชาติฮอลแลนด์ที่เป็นตัวแทนของ ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล และกองหลังมีเนมานย่า วิดิช ผู้เล่นยอดเยี่ยมของเซอร์เบียแอนด์มอนเตเนโกร และริโอ เฟอร์ดินานด์กองหลังค่าตัว 30 ล้านปอนด์เป็นแกนกลาง, ปีกซ้ายขวามี คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ปีกดาวรุ่งโปรตุเกสที่สืบทอดเสื้อหมายเลข 7 ต่อจากเดวิด เบ็คแฮม และนานี่ ปีกดาวรุ่งผู้เป็นตัวแทนของไรอัน กิ๊กส์ และกองหน้ามี เวย์น รูนี่ย์ ดาวยิงประตูที่มีค่าตัวถึง 27 ล้านปอนด์เป็นกำลังหลัก อเล็กซ์เฟอร์กูสันได้กล่าวว่าทีมชุดนี้เป็นชุดที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้ชุดปี 1999, ซึ่งทีมชุดนี้สามารถนำแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไล่ล่าความสำเร็จอีกครั้ง โดยการคว้าแชมป์ลีก 3 ปีติดต่อกันในปี 2006-2009 และการคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกอีกครั้งในฤดูกาล 2007-2008
การเทคโอเวอร์ของมัลคอล์ม เกลเซอร์
ในวันที่12 พฤษภาคม พ.ศ. 2548 (2005) มัลคอล์ม เกลเซอร์ นักธุรกิจชาวสหรัฐอเมริกาสามารถครอบครองในสโมสรเกินร้อยละ 70 หลังจากบรรลุข้อตกลงซื้อหุ้นของผู้ถือหุ้นเจ. พี. แมกมานัส และจอห์น แมกเนียร์ ซึ่งถือหุ้นอยู่ร้อยละ 28.7 จาก และแฮร์รี่ ดอบสัน ผู้ถือหุ้นใหญ่ลำดับสามชาวสกอต[4][5] ในวันที่ 16 พฤษภาคม เกลเซอร์ครอบครองหุ้นเกินร้อยละ 75 ซึ่งทำให้เขาสามารถนำสโมสรออกจากตลาดหลักทรัพย์ได้[6] แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดถูกนำออกจากตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนในวันที่ 22 มิถุนายน[7] เกลเซอร์สามารถครอบครองหุ้นร้อยละ 98 เป็นผลสำเร็จในวันที่ 28 มิถุนายน ซึ่งเกินระดับที่กำหนดให้บังคับซื้อหุ้นส่วนที่เหลือ[3] มัลคอล์ม เกลเซอร์แต่งตั้งลูกชายสามคนของเขาเข้าในคณะกรรมการบริหาร ผู้สนับสนุนจำนวนมากไม่พอใจการเข้าครอบครองกิจการของเกลเซอร์[8]
ทีมงานประจำสโมสร
- เจ้าของสโมสร – มัลคอล์ม เกลเซอร์
- ประธานสโมสรกิตติมศักดิ์ – มาร์ติน เอ็ดเวิร์ด
บริษัท แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จำกัด
- ประธานสโมสรร่วม – โจเอล เกลเซอร์และอาฟราม เกลเซอร์
- ผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร – เดวิด กิลล์
- ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ - มิชาเอล โบลิ่งโบรค
- ผู้อำนวยการด้านการค้า – ริชาร์ด อาร์โนลด์
- ผู้อำนวยการบริหาร - เอ็ด วู้ดเวิร์ด
- ผู้อำนวยการ – ไบรอัน เกลเซอร์ / เควิน เกลเซอร์ / เอ็ดเวิร์ด เกลเซอร์ / ดาร์ซี่ เกลเซอร์
สโมสรฟุตบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
- ผู้อำนวยการ – เดวิด กิลล์ / ไมเคิ่ล เอ็ดเดลสัน / เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน / มัวริซ วัตกิ้นส์
- เลขานุการสโมสร – เคน แรมสเด้น
- ผู้ช่วยเลขานุการสโมสร – เคน เมอร์เรตต์
- ทูต - ไบรอัน ร็อบสัน
ทีมผู้ฝึกสอนและแพทย์
- ผู้จัดการทีม – เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน
- ผู้ช่วยผู้จัดการทีม – ไมค์ ฟีแลน
- ผู้ฝึกสอนทีมชุดใหญ่ – เรเน่ มูเลนสทีน
- ผู้ฝึกสอนผู้รักษาประตู – อีริค สตีล
- ผู้ฝึกสอนด้านฟิตเนส – โทนี่ สตรั๊ดวิค
- ผู้ฝึกสอนด้านพละกำลังและสุขภาพ – มิกก์ เคลกก์
- หัวหน้าวิทยาศาสตร์การกีฬา - ดร.ริชาร์ด ฮอว์กินส์
- ผู้จัดการทีมสำรอง – โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์
- ผู้ฝึกสอนทีมสำรอง – วอร์เรน จอยซ์
- หัวหน้าแมวมอง - จิม ลอว์เลอร์
- หัวหน้าแมวมองภาคพื้นยุโรป – มาร์ติน เฟอร์กูสัน
- ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกเยาวชน – ไบรอัน แมคแคลร์
- ผู้อำนวยการฟุตบอลเยาวชน – จิมมี่ ไรอัน
- แพทย์ประจำสโมสร – ดร.สตีฟ แมคนัลลี่
- ผู้ช่วยแพทย์ประจำสโมสร – ดร.โทนี่ กิลล์
- นักกายภาพบำบัดทีมชุดใหญ่ – ร็อบ สไวร์
ผู้เล่นชุดปัจจุบัน
Note: ธงชาติที่ปรากฎบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่า ตามความเหมาะสม เพราะบางผู้เล่นอาจถือสองสัญชาติ
|
|
ผู้เล่นถูกยืมตัว
Note: ธงชาติที่ปรากฎบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่า ตามความเหมาะสม เพราะบางผู้เล่นอาจถือสองสัญชาติ
|
ผู้เล่นที่โด่งดัง
ผู้เล่นซึ่งลงสนามตั้งแต่ 1 ครั้งขึ้นไป (รวมทั้งในฐานะตัวสำรอง) อย่างไรก็ตาม รวมผู้เล่นบางคนที่เล่นน้อยกว่า 1 ครั้งแต่มีส่วนสำคัญต่อประวัติศาสตร์ของสโมสรด้วย (เช่น เลียม วีแลน)
ผู้เล่นเรียงลำดับตามวันที่ลงสนามให้สโมสรครั้งแรกของพวกเขา จำนวนครั้งและประตูนับเฉพาะการแข่งขันของทีมชุดแรกเท่านั้น รวมการแข่งขันในเวลาสงครามด้วย
สถิติ ณ วันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2551 (ค.ศ. 2008)
ชื่อ | สัญชาติ | ตำแหน่ง | เล่นให้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด | จำนวนครั้ง (ตัวสำรอง) | รวม | ประตู |
---|---|---|---|---|---|---|
อัลฟ์ ฟาร์แมน | FW | 1889-1895 | 121 (0) | 121 | 53 | |
วิลลี่ สจวร์ต | HB | 1890-1895 | 149 (0) | 149 | 23 | |
บ๊อบ โดนัลด์สัน | FW | 1892-1897 | 147 (0) | 147 | 66 | |
เฟรด อีเรนทซ์ | LB | 1892-1902 | 303 (0) | 303 | 9 | |
โจ แคสสิดี้ | FW | 1893, 1895-1900 | 167 (0) | 167 | 99 | |
เจมส์ แมคนอท | HB | 1893-1898 | 157 (0) | 157 | 12 | |
ดิค สมิธ | FW/LW | 1894-1898, 1900-1901 | 100 (0) | 100 | 37 | |
วอลเตอร์ คาร์ทไรท์ | HB | 1895-1905 | 257 (0) | 257 | 8 | |
แฮร์รี่ สแตฟฟอร์ด | RB | 1896-1903 | 200 (0) | 200 | 1 | |
วิลเลียม ไบรแอนท์ | FW | 1896-1900 | 127 (0) | 127 | 33 | |
แฟรงค์ บาร์เร็ทท์ | GK | 1896-1900 | 132 (0) | 132 | 0 | |
บิลลี่ มอร์แกน | HB | 1897-1903 | 152 (0) | 152 | 7 | |
บิลลี่ กริฟฟิทส์ | HB | 1899-1905 | 175 (0) | 175 | 30 | |
อัลฟ์ สโคฟิลด์ | FW | 1900-1907 | 179 (0) | 179 | 35 | |
วินซ์ เฮยส์ | RB | 1901-1907, 1908-1910 | 128 (0) | 128 | 2 | |
แจ็ค เพดดี้ | FW | 1902-1903, 1904-1907 | 121 (0) | 121 | 58 | |
อเล็กซ์ ดาวนี่ | HB | 1902-1909 | 191 (0) | 191 | 14 | |
อเล็กซ์ เบลล์ | HB | 1903-1913 | 309 (0) | 309 | 10 | |
บ็อบ บอนทรอน | RB | 1903-1907 | 134 (0) | 134 | 3 | |
แฮร์รี่ โมเจอร์ | GK | 1903-1912 | 266 (0) | 266 | 0 | |
ดิค ดั๊กเวิร์ธ | HB | 1903-1915 | 254 (0) | 254 | 11 | |
ชาร์ลี โรเบิร์ตส์ | HB | 1904-1913 | 302 (0) | 302 | 23 | |
ดิค โฮลเดน | RB | 1905-1914 | 117 (0) | 117 | 0 | |
แจ็ค พิคเค็น | FW | 1905-1911 | 122 (0) | 122 | 46 | |
จอร์จ วอลล์ | LW | 1906-1915 | 319 (0) | 319 | 100 | |
บิลลี่ เมเรดิธ | RW | 1907-1921 | 335 (0) | 335 | 36 | |
แซนดี้ เทิร์นบูล | FW | 1907-1915 | 247 (0) | 247 | 101 | |
จอร์จ สเตซี่ย์ | LB | 1907-1915 | 270 (0) | 270 | 9 | |
แฮโรลด์ ฮอลซ์ | FW | 1908-1912 | 125 (0) | 125 | 56 | |
อาเธอร์ วอลเลย์ | HB | 1909-1920 | 106 (0) | 106 | 6 | |
อีนอช เวสต์ | FW | 1910-1916 | 181 (0) | 181 | 80 | |
โรเบิร์ต บีล | GK | 1912-1919 | 112 (0) | 112 | 0 | |
แจ็ค มิว | GK | 1912-1926 | 199 (0) | 199 | 0 | |
แลล ฮิลดิทช์ | HB | 1919-1932 | 322 (0) | 322 | 7 | |
แจ็ค ซิลค็อค | LB | 1919-1934 | 449 (0) | 449 | 2 | |
โจ สเปนซ์ | FW | 1919-1933 | 510 (0) | 510 | 168 | |
ชาร์ลี มัวร์ | RB | 1919-1921, 1922-1931 | 328 (0) | 328 | 0 | |
จอห์น กริมวู้ด | HB | 1919-1927 | 205 (0) | 205 | 8 | |
เท็ดดี้ พาร์ทริดจ์ | FW | 1920-1929 | 160 (0) | 160 | 18 | |
อัลฟ์ สจวร์ต | GK | 1920-1932 | 326 (0) | 326 | 0 | |
เรย์ เบนเนียน | HB | 1921-1932 | 301 (0) | 301 | 3 | |
อาเธอร์ ลอชเฮด | FW | 1921-1925 | 153 (0) | 153 | 50 | |
แฮร์รี่ โทมัส | FW | 1922-1931 | 135 (0) | 135 | 13 | |
แฟรงค์ บาร์สัน | HB | 1922-1928 | 152 (0) | 152 | 4 | |
แฟรงค์ มันน์ | HB | 1923-1930 | 197 (0) | 197 | 5 | |
แฟรงค์ แมคเฟอร์สัน | LW | 1923-1928 | 175 (0) | 175 | 52 | |
ทอม โจนส์ | FB | 1924-1937 | 200 (0) | 200 | 0 | |
จิมมี่ แฮนสัน | FW | 1924-1931 | 147 (0) | 147 | 52 | |
แจ็ค วิลสัน | HB | 1926-1932 | 140 (0) | 140 | 3 | |
ฮิวจ์ แมคลีนาแฮน | HB | 1928-1937 | 116 (0) | 116 | 12 | |
แฮร์รี่ โรว์เลย์ | FW | 1928-1932, 1934-1937 | 180 (0) | 180 | 55 | |
ทอม รีด | FW | 1929-1933 | 101 (0) | 101 | 67 | |
จอร์จ แมคแลชแลน | FW | 1929-1933 | 116 (0) | 116 | 4 | |
แจ็ค เมลเลอร์ | HB | 1930-1937 | 122 (0) | 122 | 0 | |
ทอม แมนเลย์ | HB | 1930-1939 | 195 (0) | 195 | 41 | |
จอร์จ โวส | HB | 1933-1939 | 209 (0) | 209 | 1 | |
แจ็ค กริฟฟิธส์ | LB | 1934-1944 | 173 (0) | 173 | 1 | |
บิล แมคเคย์ | HB | 1934-1940 | 182 (0) | 182 | 15 | |
จอร์จ มัทช์ | FW | 1934-1937 | 120 (0) | 120 | 49 | |
โทมัส แบมฟอร์ด | FW | 1934-1938 | 109 (0) | 109 | 57 | |
บิลลี่ ไบรแอนท์ | FW | 1934-1939 | 157 (0) | 157 | 42 | |
เจมส์ บราวน์ | HB | 1935-1939 | 110 (0) | 110 | 1 | |
จอหน์นี่ แคเรย์ | FB | 1937-1953 | 344 (0) | 344 | 17 | |
แจ็ค โรว์เลย์ | FW | 1937-1955 | 424 (0) | 424 | 211 | |
สแตน เพียร์สัน | FW | 1937-1954 | 343 (0) | 343 | 148 | |
แจ็ค วอร์เนอร์ | HB | 1938-1950 | 116 (0) | 116 | 2 | |
จอห์น แอสตัน ซีเนียร์ | LB | 1946-1954 | 284 (0) | 284 | 30 | |
อัลเลนบาย ชิลตัน | HB | 1946-1955 | 391 (0) | 391 | 3 | |
เฮนรี ค็อคเบิร์น | HB | 1946-1954 | 275 (0) | 275 | 4 | |
แจ็ค ครอมพ์ตัน | GK | 1946-1956 | 212 (0) | 212 | 0 | |
จิมมี่ ดีลานีย์ | RW | 1946-1950 | 184 (0) | 184 | 28 | |
บิลลี่ แม็คเกล็น | HB | 1946-1952 | 122 (0) | 122 | 2 | |
ชาร์ลี มิทเท็น | LW | 1946-1952 | 162 (0) | 162 | 61 | |
จอห์น ดาวนี่ | FW | 1949-1953 | 116 (0) | 116 | 37 | |
เรย์ วู้ด | LW | 1949-1958 | 208 (0) | 208 | 0 | |
ดอน กิ๊บสัน | HB | 1950-1955 | 115 (0) | 115 | 0 | |
มาร์ค โจนส์ | HB | 1950-19528 | 121 (0) | 121 | 1 | |
จอห์นนี่ เบอร์รี่ | RW | 1951-1958 | 276 (0) | 276 | 45 | |
แจ๊คกี้ บลานซ์ฟลาวเลอร์ | HB | 1951-1958 | 117 (0) | 117 | 27 | |
โรเจอร์ ไบรน์ | LB | 1951-1958 | 280 (0) | 280 | 20 | |
เดวิด เพ็กก์ | LW | 1952-1958 | 150 (0) | 150 | 28 | |
บิลล์ โฟ้กส์ | HB/RB | 1952-1970 | 685 (3) | 688 | 9 | |
ทอมมี่ เทย์เลอร์ | FW | 1953-1958 | 191 (0) | 191 | 131 | |
เลียม วีแลน | FW | 1953-1958 | 98 (0) | 98 | 52 | |
ดันแคน เอดเวิร์ด | HB | 1953-1958 | 177 (0) | 177 | 21 | |
เดนนิส ไวโอเล็ต | FW | 1953-1962 | 293 (0) | 293 | 179 | |
เฟรดดี้ กู๊ดวิน | HB | 1954-1960 | 107 (0) | 107 | 8 | |
อัลเบิร์ต สแคนลอน | LW | 1954-1960 | 127 (0) | 127 | 35 | |
เอ็ดดี้ คอลแมน | HB | 1955-1958 | 108 (0) | 108 | 2 | |
รอนนี่ โคพ | HB | 1956-1961 | 106 (0) | 106 | 2 | |
บ็อบบี้ ชาร์ลตัน | FW | 1956-1973 | 756 (2) | 758 | 249 | |
เดวิส แกสเคลล์ | GK | 1956-1967 | 119 (0) | 119 | 0 | |
แฮร์รี่ เกร็กก์ | GK | 1957-1966 | 247 (0) | 247 | 0 | |
เชย์ เบร็นแนน | RB | 1958-1970 | 358 (1) | 359 | 6 | |
อัลเบิร์ต ควิกซอลล์ | FW | 1958-1963 | 183 (0) | 183 | 56 | |
จอห์นนี่ กิลส์ | CM | 1959-1963 | 115 (0) | 115 | 13 | |
น็อบบี้ สไตลส์ | HB | 1959-1971 | 394 (0) | 394 | 19 | |
มัวริซ เซ็ทเทอรส์ | HB | 1960-1964 | 194 (0) | 194 | 14 | |
โทนี่ ดันน์ | FB | 1960-1973 | 534 (1) | 535 | 2 | |
โนเอล แคนท์เวลล์ | LB | 1960-1967 | 146 (0) | 146 | 8 | |
เดวิด เฮิร์ด | FW | 1961-1968 | 264 (1) | 265 | 145 | |
เดนิส ลอว์ | FW | 1962-1973 | 398 (6) | 404 | 237 | |
เดวิด แซดเลอร์ | หลายตำแหน่ง | 1962-1973 | 328 (7) | 335 | 27 | |
แพ็ท ครีแรนด์ | HB | 1963-1971 | 397 (0) | 397 | 15 | |
จอร์จ เบสต์ | FW/W | 1963-1974 | 470 (0) | 470 | 179 | |
จอห์น คอนเนลลี่ | FW | 1964-1966 | 112 (1) | 113 | 35 | |
จอห์น ฟิทซ์แพทริค | RB | 1965-1973 | 141 (6) | 147 | 10 | |
จอห์น แอสตัน | LW | 1965-1972 | 166 (21) | 187 | 27 | |
อเล็กซ์ สเต็ปนีย์ | GK | 1966-1979 | 539 (0) | 539 | 2 | |
ไบรอัน คิดด์ | FW | 1967-1974 | 257 (9) | 266 | 70 | |
ฟรานซิส เบิร์นส์ | LB | 1967-1972 | 143 (13) | 156 | 7 | |
วิลลี่ มอร์แกน | RW | 1968-1975 | 293 (3) | 296 | 34 | |
สตีฟ เจมส์ | HB | 1968-1975 | 160 (1) | 161 | 4 | |
แซมมี่ แมคอิลรอย | CM | 1971-1982 | 391 (28) | 419 | 71 | |
มาร์ติน บั๊คคั่น | CB | 1972-1983 | 456 (0) | 456 | 4 | |
เดวิด แมคครีรี่ | MF | 1972-1979 | 57 (53) | 110 | 8 | |
อเล็กซ์ ฟอร์ซิธ | RB | 1973-1978 | 116 (3) | 119 | 5 | |
ลู มาคาริ | MF/FW | 1973-1984 | 374 (27) | 401 | 97 | |
เจอร์รี่ ดาลี่ | CM | 1973-1977 | 137 (5) | 142 | 32 | |
ไบรอัน กรีนฮอฟฟ์ | CB | 1973-1979 | 268 (3) | 271 | 17 | |
สจวร์ต ฮูสตัน | LB | 1974-1980 | 248 (2) | 250 | 16 | |
สจวร์ต เพียร์สัน | FW | 1974-1979 | 179 (1) | 180 | 66 | |
อาเธอร์ อัลบิสตัน | LB | 1974-1988 | 467 (18) | 485 | 7 | |
สตีฟ คอปเปลล์ | RW | 1975-1983 | 393 (3) | 396 | 70 | |
จิมมี่ นิโคลล์ | RB | 1975-1982 | 235 (13) | 248 | 6 | |
กอร์ดอน ฮิลล์ | LW | 1975-1978 | 133 (1) | 134 | 51 | |
จิมมี่ กรีนฮอฟฟ์ | FW | 1976-1980 | 119 (4) | 123 | 36 | |
แอชลี่ย์ กริมส์ | LB | 1977-1983 | 77 (30) | 107 | 11 | |
โจ จอร์แดน | FW | 1978-1981 | 125 (1) | 126 | 41 | |
กอร์ดอน แม็คควีน | CB | 1978-1985 | 229 (0) | 229 | 26 | |
แกรี่ เบลี่ย์ | GK | 1978-1987 | 375 (0) | 375 | 0 | |
มิคกี้ โทมัส | LW | 1978-1981 | 110 (0) | 110 | 15 | |
เควิน มอแรน | CB | 1979-1988 | 284 (5) | 289 | 24 | |
เรย์ วิลกิ้นส์ | CM | 1979-1984 | 191 (3) | 194 | 10 | |
ไมค์ ดั๊กบิวรี่ | RB | 1980-1990 | 345 (33) | 378 | 7 | |
จอห์น กิดแมน | RB | 1981-1986 | 116 (4) | 120 | 4 | |
แฟรงค์ สเตเปิลตัน | FW | 1981-1987 | 267 (21) | 288 | 78 | |
เรมี่ มอส | CM | 1981-1988 | 188 (11) | 199 | 12 | |
ไบรอัน ร็อบสัน | CM | 1981-1994 | 437 (24) | 461 | 99 | |
นอร์แมน ไวท์ไซด์ | FW/CM | 1982-1989 | 256 (18) | 274 | 67 | |
พอล แม็คกรัธ | CB | 1982-1989 | 192 (7) | 199 | 16 | |
มาร์ค ฮิวจ์ส | FW | 1983-1986, 1988-1995 | 453 (14) | 467 | 163 | |
แกรม ฮอกก์ | CB | 1984-1988 | 108 (2) | 110 | 1 | |
เคลย์ตัน แบล็คมอร์ | หลายตำแหน่ง | 1984-1994 | 201 (44) | 245 | 26 | |
เจสเปอร์ โอลเซ่น | LW | 1984-1988 | 149 (27) | 176 | 24 | |
กอร์ดอน สตรั๊คคั่น | RM | 1984-1989 | 195 (6) | 201 | 38 | |
ปีเตอร์ ดาเวนพอร์ท | FW | 1986-1988 | 83 (23) | 106 | 26 | |
ไบรอัน แม็คแคลร์ | FW | 1987-1998 | 398 (73) | 471 | 127 | |
สตีฟ บรูซ | CB | 1987-1996 | 411 (3) | 414 | 51 | |
ลี มาร์ติน | LB | 1988-1994 | 84 (25) | 109 | 2 | |
ลี ชาร์ป | LW | 1988-1996 | 213 (50) | 263 | 36 | |
มาล โดนากี | CB/LB | 1988-1992 | 98 (21) | 119 | 0 | |
ไมค์ ฟีแลน | หลายตำแหน่ง | 1989-1994 | 127 (19) | 146 | 3 | |
นีล เว็บบ์ | CM | 1989-1992 | 105 (5) | 110 | 11 | |
แกรี่ พัลลิสเตอร์ | CB | 1989-1998 | 433 (4) | 437 | 15 | |
พอล อินซ์ | CM | 1989-1995 | 276 (5) | 281 | 29 | |
เดนนิส เออร์วิน | FB | 1990-2002 | 511 (18) | 529 | 33 | |
ไรอัน กิ๊กส์ | LW | 1991- | 671 (90) | 761 | 144 | |
อังเดร แคนเชลสกี้ส์ | / | RW | 1991-1995 | 132 (29) | 161 | 36 |
พอล ปาร์คเกอร์ | RB | 1991-1996 | 137 (9) | 146 | 2 | |
ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล | GK | 1991-1999 | 398 (0) | 398 | 1 | |
แกรี่ เนวิลล์ | RB | 1992- | 516 (27) | 543 | 7 | |
เดวิด เบ็คแฮม | RM | 1992-2003 | 356 (38) | 394 | 85 | |
นิคกี้ บัตต์ | CM | 1992-2004 | 307 (79) | 386 | 26 | |
เอริค คันโตน่า | FW | 1992-1997 | 184 (1) | 185 | 82 | |
รอย คีน | CM | 1993-2005 | 458 (22) | 480 | 51 | |
เดวิด เมย์ | CB | 1994-2003 | 98 (20) | 118 | 8 | |
พอล สโคลส์ | CM | 1994- | 478 (96) | 574 | 139 | |
แอนดรูว์ โคล | FW | 1995-2001 | 231 (44) | 275 | 121 | |
ฟิล เนวิลล์ | หลายตำแหน่ง | 1995-2005 | 301 (85) | 386 | 8 | |
รอนนี่ ยอห์นเซ่น | CB/CM | 1996-2002 | 131 (19) | 150 | 9 | |
โอเล่ กุนนาร์ โซลชา | FW | 1996-2007 | 216 (150) | 366 | 126 | |
เท็ดดี้ เชอริงแฮม | FW | 1997-2001 | 101 (52) | 153 | 46 | |
เฮนนิ่ง เบิร์ก | CB | 1997-2000 | 81 (22) | 103 | 3 | |
เวสต์ บราวน์ | RB/CB | 1998- | 273 (36) | 309 | 3 | |
ยาป สตัม | CB | 1998-2001 | 125 (2) | 127 | 1 | |
ดไวท์ ยอร์ก | FW | 1998-2002 | 120 (32) | 152 | 66 | |
ควินตัน ฟอร์จูน | LW/LB | 1999-2006 | 88 (38) | 126 | 11 | |
มิคาเอล ซิลแวสต์ | LB/CB | 1999-2008 | 326 (35) | 361 | 10 | |
จอห์น โอเชีย | หลายตำแหน่ง | 1999- | 217 (75) | 292 | 12 | |
ฟาเบียง บาร์กเตซ | GK | 2000-2004 | 139 (0) | 139 | 0 | |
รุด ฟาน นิสเตลรอย | FW | 2001-2006 | 200 (19) | 219 | 150 | |
ริโอ เฟอร์ดินานด์ | CB | 2002- | 267 (4) | 271 | 7 | |
ดาร์เร็น เฟล็ตเชอร์ | CM/RM | 2003- | 130 (46) | 176 | 11 | |
คริสเตียโน่ โรนัลโด้ | / | W/FW | 2003-2009 | 196 (43) | 239 | 91 |
หลุยส์ ซาฮา | W/FW | 2004-2008 | 76 (48) | 124 | 42 | |
เวย์น รูนีย์ | FW | 2004- | 174 (18) | 192 | 101 | |
เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ | GK | 2005- | 146 (0) | 146 | 0 | |
ปาทริก เอวร่า | LB | 2006- | 89 (13) | 102 | 2 | |
เนมันย่า วิดิช | CB | 2006- | 98 (4) | 102 | 6 | |
ไมเคิ่ล คาร์ริค | CM | 2006- | 88 (15) | 103 | 8 |
เกียรติประวัติ
ตัวเลขฤดูกาลตามปีค.ศ.
-
- 1907-08, 1910-11, 1951-52, 1955-56, 1956-57, 1964-65, 1966-67, 1992-93, 1993-94, 1995-96, 1996-97, 1998-99, 1999-2000, 2000-01, 2002-03, 2006-07, 2007-08, 2008-09
-
- 1935-36, 1974-75
- เอฟเอคัพ: 11
-
- 1909, 1948, 1963, 1977, 1983, 1985, 1990, 1994, 1996, 1999, 2004
- ลีกคัพ: 4
-
- 1992, 2006, 2009, 2010
-
- 1968, 1999, 2008
-
- 1991
- อินเตอร์คอนติเนนตัลคัพ: 1
-
- 1999
- ฟีฟ่าคลับเวิลด์คัพ: 1
-
- 2008
- ยูโรเปี้ยนซูเปอร์คัพ: 1
-
- 1991
- แชริตี้ชิลด์/คอมมูนิตี้ชิลด์: 17 (13 แชมป์เดี่ยว, 4 แชมป์ร่วม*)
-
- 1908, 1911, 1952, 1956, 1957, 1965*, 1967*, 1977*, 1983, 1990*, 1993, 1994, 1996, 1997, 2003, 2007, 2008
- BBC Sports Personality of the Year Team Award
-
- 1968 & 1999
สถิติที่สำคัญของสโมสร
(สถิติล่าสุดเมื่อ 10 พฤษภาคม 2552)
สถิติลงเล่นมากที่สุด
(สัญลักษณ์ ↓ แสดงถึงกำลังเล่นอยู่ในสโมสร)
อันดับ | รายชื่อ | ฤดูกาล | ลงเล่น | ประตู |
---|---|---|---|---|
1 | ไรอัน กิ๊กส์↓ | 1990 - ปัจจุบัน | 836 | 154 |
2 | บ็อบบี้ ชาร์ลตัน | 1953 - 1973 | 758 | 249 |
3 | บิลล์ โฟ้กส์ | 1950 - 1970 | 688 | 9 |
4 | พอล สโคลส์↓ | 1994 - ปัจจุบัน | 641 | 149 |
5 | แกรี่ เนวิลล์↓ | 1992 - ปัจจุบัน | 597 | 7 |
6 | อเล็กซ์ สเต็ปนี่ย์ | 1966 - 1978 | 539 | 2 |
7 | โทนี่ ดัน | 1960 - 1973 | 535 | 2 |
8 | เดนิส เออร์วิน | 1990 - 2002 | 529 | 33 |
9 | โจ สเปนซ์ | 1919 - 1933 | 510 | 168 |
10 | อาเธอร์ อัลบิซตัน | 1974 - 1988 | 485 | 7 |
สถิติทำประตูสูงสุด
อันดับ | รายชื่อ | ฤดูกาล | ลงเล่น | ประตู |
---|---|---|---|---|
1 | บ็อบบี้ ชาร์ลตัน | 1953 - 1973 | 758 | 249 |
2 | เดนิส ลอว์ | 1962 - 1973 | 404 | 237 |
3 | แจ็ก โรว์ลีย์ | 1937 - 1955 | 424 | 211 |
4 = | เดนนิส ไวโอเล็ต | 1949 - 1962 | 293 | 179 |
4 = | จอร์จ เบสต์ | 1963 - 1974 | 470 | 179 |
6 | โจ สเปนซ์ | 1919 - 1933 | 510 | 168 |
7 | มาร์ก ฮิวจ์ส | 1980 - 1986, 1988 - 1995 | 467 | 163 |
8 | ไรอัน กิ๊กส์ | 1990 - ปัจจุบัน | 836 | 154 |
9 | รุด ฟาน นิสเตลรอย | 2001 - 2006 | 219 | 150 |
10 | พอล สโคลส์ | 1994 - ปัจจุบัน | 641 | 149 |
สถิติของสโมสร
- ชัยชนะฟุตบอลลีกสูงสุด - 10 - 1 - 15 ตุลาคม 1892 - ฟุตบอลดิวิชัน 1 แข่งกับ วูลฟ์
- ชัยชนะฟุตบอลพรีเมียร์สูงสุด - 9 - 0 - 4 มีนาคม 1995 - ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก แข่งกับ อิปสวิชทาวน์
- ชัยชนะฟุตบอลถ้วยสูงสุด - 10 - 0 - 26 กันยายน 1956 - ฟุตบอลยูโรเปียนส์คัพ แข่งกับ อันเดอร์เลซท์
- ชัยชนะในบ้านสูงสุด - 10 - 0 - 26 กันยายน 1956 - ฟุตบอลยูโรเปียนส์คัพ แข่งกับ อันเดอร์เลซท์
- ชัยชนะนอกบ้านสูงสุด - 8 - 1 - 6 กุมภาพันธ์ 1999 - ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก แข่งกับนอตติ้งแฮม ฟอเรสต์
- แพ้สูงสุด - 0 - 7 - ปี 1926 - ฟุตบอลดิวิชัน 1 แข่งกับ แข่งกับ แบล็กเบิร์น โรเวอร์ส
- แพ้สูงสุด - 0 - 7 - ปี 1930 - ฟุตบอลดิวิชัน 1 แข่งกับ แข่งกับ แอสตันวิลลา
- แพ้สูงสุด - 0 - 7 - ปี 1931 - ฟุตบอลดิวิชัน 2 แข่งกับ แข่งกับ วูลฟ์
- ผู้เข้าชมสูงสุด - 75,595 คน - 17 กันยายน 2006 - ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก แข่งกับอาร์เซนอล
- ยอดเงินค่าเข้าชมสูงสุด - 576,494 ปอนด์ - 11 มีนาคม 1996 - ฟุตบอลเอฟเอ คัพ รอบ 6 แข่งกับสโมสรฟุตบอลเซาท์แฮมป์ตัน
- ชนะติดต่อกันนานสุด - 45 นัด จากวันที่ 24 ธันวาคม 1998 - 3 ตุลาคม 1999 โดยแพ้ให้กับ เชลซี
- แต้มสูงสุดในฤดูกาล - 92 แต้ม - 42 นัด ฤดูกาล 1993/94
- นักฟุตบอลที่ลงเล่นมากสุด - 819 นัด - ไรอัน กิ๊กส์
- นักฟุตบอลที่ลงเล่นในบอลลีกมากที่สุด - 606 นัด - บ็อบบี้ ชาร์ลตัน
- ยิงประตูสูงสุด - 247 ประตู - บ็อบบี้ ชาร์ลตัน
- ยิงประตูในฟุตบอลลีกสูงสุด - 199 ประตู - บ็อบบี้ ชาร์ลตัน
- ยิงประตูสูงสุดในหนึ่งฤดูกาล - 46 ประตู - เดนิส ลอว์ ฤดูกาล 1963-64
- ยิงประตูสูงสุดในฟุตบอลลีกหนึ่งฤดูกาล - 32 ประตู - เดนนิส ไวโอเล็ต ฤดูกาล 1959-60
- ยิงประตูสูงสุดในหนึ่งนัด - 6 ประตู - 7 กุมภาพันธ์ 1970 - จอร์จ เบสต์ นัดแข่งกับ นอร์ทแธมป์ตันทาวน์
- ยิงประตูสูงสุดในการแข่งขันยูฟ่า - 38 ประตู - รุด ฟาน นิสเตลรอย
- ผู้เล่นที่ติดทีมชาติมากสุด - 129 นัด - ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล - ทีมชาติเดนมาร์ก
- ทำประตูได้เร็วที่สุด - 15 วินาที - ไรอัน กิ๊กส์ - 18 พฤศจิกายน 1995 นัดที่แข่งกับ เซาท์แทมป์ตัน
- ผู้เล่นซื้อเข้ามายังสโมสรที่มีราคาสูงที่สุด - ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ จากสโมสรท็อตแนม ฮอตสเปอร์ (อังกฤษ) 30.75 ล้านปอนด์
- ผู้เล่นขายออกไปจากสโมสรที่มีราคาสูงที่สุด - คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ไปสโมสรเรอัล มาดริด (สเปน) 80 ล้านปอนด์ (เป็นสถิติโลกตั้งแต่กรกฎาคม 2009 ถึงปัจจุบัน)
สถิติอื่นๆ
- ในช่วง 18 ปีที่ผ่านมา (1991-2009) เป็นสโมสรเดียวที่จบฤดูกาลไม่ต่ำกว่าอันดับ 3
- ทำแต้มในลีกรวมทุกลีก ได้เป็นอันดับหนึ่งตลอดกาล (5621 แต้ม อันดับ 2 และ 3 คือลิเวอร์พูลและอาร์เซน่อล ได้ 5565 และ 5392 แต้มตามลำดับ)
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
- ^ WHO'S THE GREATEST?, 4thegame.com, 27 กรกฎาคม 2544 (อังกฤษ)
- ^ European Football Statistics (อังกฤษ)
- ^ 3.0 3.1 Glazer gets 98% of Man Utd shares บีบีซีนิวส์ 28 มิถุนายน 2548 เรียกข้อมูลวันที่ 23-05-2550 (อังกฤษ)
- ^ Glazer wins control of Man United บีบีซีนิวส์ 12 พฤษภาคม 2548 เรียกข้อมูลวันที่ 23-05-2550 (อังกฤษ)
- ^ Tycoon seizes control of Man Utd, ซีเอ็นเอ็น 12 พฤษภาคม 2548 เรียกข้อมูลวันที่ 23-05-2550 (อังกฤษ)
- ^ Glazer Man Utd stake exceeds 75% บีบีซีนิวส์ 16 พฤษภาคม 2548 เรียกข้อมูลวันที่ 23-05-2550 (อังกฤษ)
- ^ Man Utd shares leave stock market บีบีซีนิวส์ 22 มิถุนายน 2548 เรียกข้อมูลวันที่ 23-05-2550 (อังกฤษ)
- ^ Fans rage at Glazer takeover move บีบีซีนิวส์ 13 พฤษภาคม 2548 เรียกข้อมูลวันที่ 23-05-2550
แหล่งข้อมูลอื่น
- ManUtd.com เว็บไซต์สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอย่างเป็นทางการ (อังกฤษ)
- Red Army Fanclub ชมรม Red Army Fanclub
- Manu-club.com เว็บไซต์แฟนคลับแมนฯ ยูไนเต็ด
- [1]
|
|