ราชวงศ์หมิง
ต้าหมิง 大明 |
||||
จักรวรรดิ | ||||
|
||||
ดินแดนราชวงศ์หมิงภายใต้จักรพรรดิหย่งเล่อ | ||||
เมืองหลวง | นานกิง (พ.ศ. 1911 - 1964) ปักกิ่ง (พ.ศ. 1964 - 2187) |
|||
ภาษา | ภาษาจีน | |||
ศาสนา | เต๋า พุทธ ขงจื๊อ | |||
รัฐบาล | ราชาธิปไตย | |||
จักรพรรดิ | ||||
- พ.ศ. 1911 - 1942 | จักรพรรดิหงหวู่ | |||
- พ.ศ. 1942 - 1945 | จักรพรรดิเจี้ยนเหวิน | |||
- พ.ศ. 1945 - 1967 | จักรพรรดิหย่งเล่อ | |||
ประวัติศาสตร์ | ||||
- การสถาปนานานกิง | 23 ม.ค. 1911 พ.ศ. 1911 | |||
- การแตกของกรุงปักกิ่ง | 6 มิ.ย. 2187 2187 | |||
- สิ้นสุดราชวงศ์หมิงใต้ | เม.ย. 2205 | |||
ประชากร | ||||
- พ.ศ. 1936 ประมาณการ | 72,700,000 | |||
- พ.ศ. 1943 ประมาณการ | 65,000,000 | |||
- พ.ศ. 2143 est. | 150,000,000 | |||
- พ.ศ. 2187 ประมาณการ | 100,000,000 | |||
ราชวงศ์หมิง หรือ ราชวงศ์เบ๋ง (ฮกเกี้ยน) หรือ ราชวงศ์เม้ง (แต้จิ๋ว) เป็นราชวงศ์ที่ปกครองประเทศจีน ระหว่าง พ.ศ. 1911 (ค.ศ. 1368) ถึง พ.ศ. 2187 (ค.ศ. 1644) เป็นเวลารวม 276 ปี โดยปกครองต่อจากราชวงศ์หยวนหรือพวกมองโกล และพ่ายแพ้ให้กับราชวงศ์ชิงของพวกแมนจูในภายหลังราชวงศ์หมิงเป็นราชวงศ์ที่รุ่งเรืองในด้านวัฒนธรรมเป็นอย่างมาก ในยุคนี้มีการสำรวจทางทะเลอย่างกว้างขวาง ราชวงศ์หมิงในตอนต้น (1368 - 1464) ถือเป็นอาณาจักรที่ก้าวหน้าที่สุดในโลก ณ ช่วงเวลานั้น
เนื้อหา |
[แก้] ยุคต้นราชวงศ์หมิงถึงยุคปลาย
เมื่อปี พ.ศ. 1911 จู หยวนจาง หรือจักรพรรดิหงหวู่ องค์ปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์ครองราชย์ที่เมืองนานกิง และได้สถาปนาราชวงศ์หมิงขึ้น 31ปีแห่งการครองอำนาจ จักรพรรดิหมิงไท่จู่ได้เสริมสร้างระบอบรวมศูนย์อำนาจรัฐเผด็จการแบบศักดินาให้เข้มแข็งขึ้นอย่างสุดความสามารถ จักรพรรดิหมิงไท่จู่ประหารขุนนางผู้มีคุณูปการ ฆ่าผู้คนที่มีความเห็นที่ไม่เหมือนพระองค์ เพิ่มอำนาจของจักรพรรดิให้มากขึ้น ปราบปรามอิทธิพลที่ต่อต้านพระองค์ หลังจากจักรพรรดิหมิงไท่จู่สวรรคตแล้ว จักรพรรดิจูเอี้ยนเหวินซึ่งเป็นพระราชนัดดาองค์หนึ่งได้ขึ้นครองราชย์ ต่อมาไม่นาน จูตี้ ผู้เป็นปิตุลาของจักรพรรดิเอี้ยนเหวินซึ่งเป็นได้ลุกขึ้นต่อสู้และโค่นอำนาจรัฐของจักรพรรดิเอี้ยนเหวินลง จูตี้ได้ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิหมิง เฉิงจู่หรือจักรพรรดิหย่งเล่อ ในปี พ.ศ. 1964 (ค.ศ. 1421) จักรพรรดิหย่งเล่อได้ย้ายเมืองหลวงจากเมืองนานกิงไปยังกรุงปักกิ่ง
แม้รัฐบาลของราชวงศ์หมิงจะเสริมระบอบรวมศูนย์อำนาจรัฐให้มากขึ้นก็ตาม แต่มีจักรพรรดิหลายองค์ไม่ทรงพระปรีชาหรือไม่ก็ทรงพระเยาว์ ไม่สนพระทัยการบริหารประเทศ อำนาจจึงตกอยู่ในมือของเสนาบดีและขันที พวกเขาทุจริตคดโกงและขู่เข็ญรีดเอาเงิน ทำร้ายขุนนางที่ซื่อสัตย์ กิจการบริหารบ้านเมืองเสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ ความขัดแย้งในสังคมรุนแรง ช่วงกลางสมัยราชวงศ์หมิงจึงเกิดการลุกขึ้นต่อสู้ของชาวนาหลายครั้งหลายหนแต่ถูกปราบปรามลงได้ในสมัยราชวงศ์หมิง เคยมีนักการเมืองที่มีชื่อเสียงชื่อ จางจวีเจิ้ง สามารถคลี่คลายความขัดแย้งกันทางสังคมและกอบกู้การปกครองของราชวงศ์หมิงด้วยวิธีดำเนินการปฏิรูป เขาปรับปรุงระบบขุนนาง พัฒนาการเกษตร ซ่อมแซมแม่น้ำและคูคลอง และได้รวมภาษีอากรและการกะเกณฑ์บังคับต่างๆเป็นหนึ่งเดียวได้ช่วยลดภาระของประชาชนลงไปได้บ้างระดับหนึ่งในสมัยหมิง การเกษตรพัฒนามากขึ้นกว่ายุคก่อน การทอผ้าไหมและการผลิตเครื่องเคลือบดินเผามีความก้าวหน้ารุ่งเรือง การทำเหมืองเหล็ก การหล่อเครื่องทองเหลือง การผลิตกระดาษ การต่อเรือเป็นต้นก็มีการพัฒนาอย่างมาก การแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมระหว่างประเทศมีบ่อยครั้ง เจิ้งเหอซึ่งชาวไทยเรียกกันว่าซำปอกงได้นำกองเรือจีนไปเยือนเอเซียตะวันออกเฉียงใต้และแอฟริกาทั้งหมดกว่า30ประเทศถึง 7 ครั้งตามลำดับ แต่หลังช่วงกลางราชวงศ์หมิงเป็นต้นมา จีนถูกการรุกรานจากหลายประเทศรวมทั้งญี่ปุ่น สเปน โปรตุเกส และเนเธอร์แลนด์เป็นต้นช่วงปลายราชวงศ์หมิง สภาพการผูกขาดที่ดินรุนแรงมาก พระราชวงศ์และบรรดาเจ้านายที่ได้รับการแต่งตั้งมีที่ดินกระจายอยู่ทั่วประเทศ ภาษีอากรของรัฐบาลก็นับวันมากขึ้น ความขัดแย้งระหว่างชนชั้นต่างๆของสังคมก็นับวันรุนแรงขึ้น มีเสนาบดีและขุนนางบางคนพยายามจะคลี่คลายความขัดแย้งในสังคมให้เบาบางลง และเรียกร้องให้ยับยั้งสิทธิ พิเศษของเสนาบดีขันทีและเชื้อพระวงศ์ทั้งหลาย เสนาบดีเหล่านี้เทียวบรรยายวิชาการและวิพากษ์วิจารณ์การเมืองจึงถูกเรียกกันว่าเป็น”พรรคตงหลินตั่ง” แต่แล้วพวกเขาก็ต้องถูกเสนาบดีขันทีและขุนนางที่มีอำนาจโจมตีและทำร้าย ซึ่งยิ่งทำให้สังคมวุ่นวายมากยิ่งขึ้นการต่อสู้ในชนบทก็ทวีความรุนแรงขึ้น ในปี พ.ศ. 2170 (ค.ศ. 1627) มณฑลส่านซีเกิดทุพภิกขภัย แต่ข้าราชการยังคงบีบบังคับให้ประชาชนจ่ายภาษี จนทำให้เกิดการลุกขึ้นต่อสู้ ประชาชนที่ประสบภัยเป็นพันเป็นหมื่นรวมตัวขึ้นเป็นกองทหารชาวนาหลายกลุ่มหลายสาย ปี พ.ศ. 2187 (ค.ศ. 1644) กองทหารชาวนา นำโดยหลี่จื้อเฉิง บุกเข้าไปถึงกรุงปักกิ่ง จักรพรรดิฉงเจินซึ่งเป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายของราชวงศ์หมิงต้องผูกพระศอสิ้นพระชนม์
[แก้] การเดินทางของเจิ้งเหอและต้นเค้าของการล่าอาณานิคมภาคพื้นทะเลในสมัยราชวงศ์หมิง
การเดินทางของเจิ้งเหอมีจุดประสงค์ที่จะผูกมิตรกับอาณาจักรต่างๆโดยจักรพรดิหย่งเล่อทรงส่งเจิ้งเหอเป็นแม่ทัพเรือราชวงศ์หมิงนำกองเรือขนาดยักษ์ไปตามหาจักรพรรดิเจี้ยนเหวิน ซึ่งการเดินทางเจิ้งเหอก็ต้องใช้กำลังทหารปราบปรามบ้างเพื่อแสดงให้เห็นว่ากองทัพเรือราชวงศ์หมิงนั้นมีความยิ่งใหญ่เหนือกว่าทุกชนชาติ เจิ้งเหอได้สั่งให้มีปฏิบัติการทางทหารดังต่อไปนี้
- การโจมตีท่าเรือเก่า:สถานผู้ดูแลความสงบเรียบร้อยในสุมาตรา เมื่อ ค.ศ. 1407
- เหตุอันรุนแรงในชวา เมื่อ ค.ศ. 1407
- การกดดันข่มขู่พม่าใน ค.ศ. 1409
- การโจมตีศรีลังกาใน ค.ศ. 1411
- โจมตีและจับกุม ซู-กาน-ลา (Su-Gan-La) แห่งสมุทรา ค.ศ. 1415
- ความรุนแรงที่เกิดขึ้นที่อยุธยา
[แก้] ดูเพิ่ม
[แก้] แหล่งข้อมูลอื่น
|
|