เฟซบุ๊ก
เว็บไซต์ | www.facebook.com |
---|---|
เชิงพาณิชย์? | ใช่ |
ประเภท | บริการเครือข่ายสังคม |
การลงทะเบียน | จำเป็น |
ภาษา | 70 ภาษา |
เจ้าของ | Facebook, Inc. |
ผู้ก่อตั้ง | มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก เอดูอาโด ซาเวอริน แอนดรูว์ แม็คคอลลัม ดัสติน มอสโควิส คริส ฮิวจ์ |
วันที่เปิดตัว | 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2547 |
ยอดขาย | จากการโฆษณา |
สถานะปัจจุบัน | เปิดให้บริการ |
เฟซบุ๊ก (อังกฤษ: Facebook) เป็นบริการเครือข่ายสังคมและเว็บไซต์ เปิดใช้งานเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2004 ดำเนินงานและมีเจ้าของคือ บริษัท เฟซบุ๊ก (Facebook, Inc.) [1] จากข้อมูล 4 ตุลาคม 2555 เฟซบุ๊กมีผู้ใช้ประจำ พันล้านกว่าบัญชี หรือคิดเป็นอัตราส่วน 1 ใน 7 ของคนทั้งโลก [2][3][N 1] ผู้ใช้สามารถสร้างข้อมูลส่วนตัว เพิ่มรายชื่อผู้ใช้อื่นในฐานะเพื่อนและแลกเปลี่ยนข้อความ รวมถึงได้รับแจ้งโดยทันทีเมื่อพวกเขาปรับปรุงข้อมูลส่วนตัว นอกจากนั้นผู้ใช้ยังสามารถร่วมกลุ่มความสนใจส่วนตัว จัดระบบตาม สถานที่ทำงาน โรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือ อื่น ๆ ชื่อของเฟซบุ๊กนั้นมาจากชื่อเรียกภาษาปากของสมุดที่ให้กับนักเรียนเมื่อเริ่มเแรกเรียนในสถาบันอุดมศึกษา ที่มอบให้โดยคณะบริหารมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา เพื่อช่วยให้นักเรียนสามารถรู้จักผู้อื่นได้ดีมากขึ้น เฟซบุ๊กอนุญาตให้ใครก็ได้เข้าสมัครลงทะเบียนกับเฟซบุ๊ก โดยต้องมีอายุมากกว่า 13 ปีขึ้นไป
เฟซบุ๊กก่อตั้งขึ้นโดย มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ร่วมกับเพื่อนร่วมห้องในวิทยาลัยของเขาและเป็นนักเรียนวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ที่ชื่อ เอ็ดวาร์โด ซาเวริน, ดิสติน มอสโควิตซ์ และคริส ฮิวส์[4] เดิมทีสมาชิกของเว็บไซต์จะจำกัดเฉพาะกลุ่มผู้ก่อตั้งและนักเรียนมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด แต่ต่อมาขยับขยายไปสู่มหาวิทยาลัยอื่นในแถบบอสตัน, กลุ่มไอวีลีก, และมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด แล้วค่อย ๆ เพิ่มนักเรียนจากมหาวิทยาลับอื่น จนกระทั่งเปิดให้กับนักเรียนระดับไฮสคูล จนในที่สุดทุกคนก็สามารถเข้าสมัครได้โดยอายุมากกว่า 13 ปีขึ้นไป
สำหรับติดต่อแลกข้อมูลข่าวสาร เปิดใช้งานเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2547 โดย มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด ในช่วงแรกนั้นเฟซบุ๊กเปิดให้ใช้งานเฉพาะนักศึกษามหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด ซึ่งต่อมาได้ขยายตัวออกไปสำหรับมหาวิทยาลัยทั่วสหรัฐอเมริกา และตั้งแต่ 11 กันยายน พ.ศ. 2549 ได้ขยายมาสำหรับผู้ใช้ทั่วไปทุกคนเหมือนในปัจจุบัน
จากการศึกษาของเว็บ คอมพีต.คอม ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2009 เฟซบุ๊กถือเป็นบริการเครือข่ายสังคมที่มีคนใช้มากที่สุด เมื่อดูจากผู้ใช้ประจำรายเดือน รองลงมาคือ มายสเปซ[5] เอ็นเตอร์เทนเมนต์วีกลี ให้อยู่ในรายชื่อ สิ่งที่ดีที่สุดในสิ้นทศวรรษ[6] และควอนต์แคสต์ ประเมินว่า เฟซบุ๊ก มีผู้ใช้ต่อเดือนราว 135.1 ล้านคน นับเฉพาะในสหรัฐอเมริกา[7]
ข้อมูล ณ วันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2554 จากเฟซบุ๊กมีจำนวนสมาชิกทั้งหมด 584,628,480 สมาชิกทั้วโลก โดยเป็นสมาชิกจากประเทศไทย รวม 6,914,800 สมาชิก [8]
เนื้อหา |
[แก้] ประวัติ
มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ได้เริ่มเขียนเว็บไซต์ เฟซแมช ขึ้นมาก่อนที่จะเป็นเฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 2003 ขณะที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 2 ของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด โดยเป็นเว็บไซต์ที่เปรียบเสมือนเว็บ ฮอตออร์น็อต ของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด[9] และจากข้อมูลของหนังสือพิมพ์มหาวิทยาลัยที่ชื่อ The Harvard Crimson เฟซแมชใช้ภาพที่ได้จาก เฟซบุ๊ก หนังสือแจกสำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยที่มีรูปนักศึกษา จากบ้าน 9 หลัง โดยจะมีรูป 2 รูปให้คนเลือกว่า ใครร้อนแรงกว่ากัน[10]
เพื่อทำให้ได้สำเร็จ ซักเคอร์เบิร์กได้แฮกเข้าไปในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของฮาวาร์ดในพื้นที่ป้องกัน และได้คัดลอกภาพส่วนตัวประจำหอพัก ซึ่งในขณะนั้นฮาวาร์ดยังไม่มีสารบัญรูปภาพและข้อมูลพื้นฐานของนักศึกษา และเฟซแมชได้ทำให้มีผู้เข้าเยี่ยมชม 450 คน และดูรูปภาพ 22,000 ครั้งใน 4 ชั่วโมงแรกที่ออนไลน์[10] และเว็บไซต์นี้ได้จำลองสังคมกายภาพของคน ด้วยอัตลักษณ์จริง เป็นตัวแทนของกุญแจสำคัญด้านมุมมอง ที่ต่อมาได้กลายมาเป็น เฟซบุ๊ก[11]
เว็บไซต์ได้ก้าวไกลไปในหลายเซิร์ฟเวอร์ของกลุ่มในมหาวิทยาลัย แต่ก็ปิดตัวไปในอีกไม่กี่วันโดยคณะบริหารฮาวาร์ด ซักเคอร์เบิร์กถูกกล่าวโทษว่าทำผิดต่อระบบรักษาความปลอดภัย การละเมิดลิขสิทธิ์ และการละเมิดความเป็นส่วนตัว และยังถูกไล่ออก แต่ท้ายที่สุดแล้วข้อกล่าวหาก็ยกเลิกไป[12] ต่อมาซักเคอร์เบิร์กได้ขยับขยายโครงการในเทอมนั้นเอง โดยได้คิดค้นเครื่องมือการศึกษาทางสังคมที่ก้าวหน้า ของการสอบวิชาประวัติศาสตร์ โดยการอัปโหลดรูปเกี่ยวกับประวัติศาสตร์โรม 500 รูป โดยมี 1 รูปกับอีก 1 ส่วนที่ให้แสดงความเห็น[11] เขาเปิดกับเพื่อนร่วมชั้นของเขา และคนเริ่มที่จะแบ่งปันข้อความกัน
ในเทอมต่อมาซักเคอร์เบิร์กเริ่มเขียนโค้ดในเว็บไซต์ใหม่ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2004 เขาได้รับแรงกระตุ้นให้ทำ เขาพูดไว้ใน The Harvard Crimson เกี่ยวกับเรื่อง เฟซแมช[13] และเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2004 ซักเกอร์เบิร์กได้เปิดตัวเว็บไซต์ "เดอะเฟซบุก" ในยูอาร์แอล thefacebook.com[14]
6 วันหลังจากเปิดเว็บไซต์ รุ่นพี่ 3 คน คือ แคเมรอน วิงก์เลวอส, ไทเลอร์ วิงก์เลวอส และดิฟยา นาเรนดรา ได้ฟ้องร้องซักเกอร์เบิร์กที่หลอกลวงพวกเขาให้เชื่อว่า เขาได้ช่วยที่จะช่วยสร้างเครือข่ายสังคมที่ชื่อว่า HarvardConnection.com ขณะที่เขาใช้แนวคิดพวกเขาในการสร้างเว็บไซต์เพื่อแข่งขัน[15] ทั้ง 3 คนได้บ่นในหนังสือพิมพ์ Harvard Crimson โดยทางหนังสือพิมพ์เริ่มทำการสอบสวน ต่อมาทั้ง 3 คนได้ยื่นฟ้องทางกฎหมายต่อซักเกอร์เบิร์กในภายหลัง[16]
แต่เดิม สมาชิกจะจำกัดเฉพาะนักศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด และภายในเดือนแรก มากกว่าครึ่งหนึ่งของนักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ได้ลงทะเบียนใช้บริการ[17] เอ็ดวาร์โด ซาเวริน (ดูแลเรื่องธุรกิจ), ดิสติน มอสโควิตซ์ (โปรแกรเมอร์), แอนดรูว์ แม็กคอลลัม (กราฟิก) และคริส ฮิวส์ ที่ต่อมาได้ร่วมกับซักเกอร์เบิร์กเพื่อประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ และในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2004 เฟซบุ๊กได้ขยับขยายสู่มหาวิทยาลัยอื่นอย่าง สแตนฟอร์ด, โคลัมเบีย, และเยล[18] และยังคงขยับขยายต่อสู่กลุ่มไอวีลีกทั้งหมด และมหาวิทยาลัยบอสตัน, มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก, เอ็มไอที และสู่มหาวิทยาลัยอื่นในแคนาดาและสหรัฐอเมริกาไปทีละน้อย[19][20]
เฟซบุ๊กได้เป็นบริษัทในฤดูร้อนปี ค.ศ. 2004 และได้นักธุรกิจ ฌอน พาร์กเกอร์ ที่ได้เคยแนะนำซักเกอร์เบิร์กอย่างเป็นกันเอง ก็ได้ก้าวมาเป็นประธานของบริษัท.[21] ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2004 เฟซบุ๊กได้ย้ายฐานปฏิบัติงานมาอยู่ที่ แพโลอัลโต รัฐแคลิฟอร์เนีย[18] และได้รับเงินทุนในเดือนนั้นจากผู้ร่วมก่อตั้ง เพย์พาล ที่ชื่อ ปีเตอร์ ธีล[22] บริษัทได้เปลี่ยนชื่อ โดยลดคำว่า เดอะ ออกไป และซื้อโดเมนเนมใหม่ในชื่อ เฟซบุ๊ก.คอม ในปี ค.ศ. 2005 ด้วยเงิน 2 แสนดอลลาร์สหรัฐ[23]
เฟซบุ๊กได้เปิดตัวในรูปแบบของโรงเรียนไฮสคูล ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2005 ที่ซักเกอร์เบิร์กเรียกว่า ก้าวต่อไปที่มีเหตุผล[24] ณ เวลานั้นในเครือข่ายไฮสคูล ต้องการการรับเชิญเท่านั้นเพื่อร่วมเว็บไซต์[25] ต่อมาเฟซบุ๊กได้ขยับขยายให้กับลูกจ้างบริษัทที่คัดสรรอย่าง แอปเปิล และ ไมโครซอฟท์[26] เฟซบุ๊กได้เปิดตัวเมื่อวันที่ 26 กันยายน ค.ศ. 2006 ให้ทุกคนได้ใช้กัน โดยต้องมีอายุมากกว่า 13 ปี และมีอีเมลที่แท้จริง[27][28]
ในวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 2007 ไมโครซอฟท์ประกาศว่าได้ซื้อหุ้นของเฟซบุ๊กเป็นจำนวน 1.6% ด้วยเงิน 240 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เฟซบุกมีมูลค่าราว 15 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[29] และทำให้ไมโครซอฟท์มีสิทธิ์ที่จะแขวนป้ายโฆษณาบนเฟซบุ๊กได้[30] ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2008 เฟซบุกประกาศว่าจะตั้งสำนักงานใหญ่ระดับนานาชาติในดับลิน ประเทศไอร์แลนด์[31]
ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2009 เฟซบุ๊กได้กล่าวว่า สถานะการเงินเริ่มเป็นตัวเลขบวกเป็นครั้งแรก [32] ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2010 จากข้อมูลของ เซคันด์มาร์เก็ต ระบุว่าเฟซบุกมีมูลค่า 41 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (แซงหน้าอีเบย์ไปเล็กน้อย) และถือเป็นบริษัทเว็บไซต์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาเป็นอันดับ 3 รองจากกูเกิลและแอมะซอน[33] สถิติผู้เข้าชมในเฟซบุ๊กหลังปี ค.ศ. 2009 ผู้ชมเฟซบุ๊กมากกว่ากูเกิลในปลายสัปดาห์ของสัปดาห์ 13 มีนาคม ค.ศ. 2010 [34]
[แก้] ข้อพิพาทและการวิจารณ์
เฟซบุ๊กประสบกับข้อพิพาทหลายเรื่อง เฟซบุ๊กถูกปิดกั้นการเข้าถึงเป็นช่วง ๆ ในหลายประเทศ อย่างเช่นใน ประเทศจีน,[35] เวียดนาม[36] อิหร่าน[37] อุซเบกิสถาน[38] ปากีสถาน[39] ซีเรีย[40] และบังคลาเทศ[41] ในเหตุผลที่แตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่น เนื้อหาการต่อต้านอิสลามและการแบ่งแยกทางศาสนาในเฟซบุ๊ก และยังถูกห้ามใช้จากหลายประเทศ และยังถูกห้ามใช้ในสถานที่ทำงานหลายที่เพื่อป้องกันพนักงานเสียเวลาในการทำงาน[42] และนโยบายความเป็นส่วนตัวก็เป็นประเด็น และความปลอดภัยของบัญชีผู้ใช้ก็มีการไกล่เกลี่ยกันหลายต่อหลายครั้ง เฟซบุ๊กได้ลงมือแก้ปัญหาคดีความที่เกี่ยวกับซอร์ซโคดและทรัพย์สินทางปัญญา[43]
[แก้] บริษัท
รายได้ส่วนมากของเฟซบุ๊กมาจากการโฆษณา โดยไมโครซอฟท์เป็นผู้ร่วมหุ้นพิเศษในด้านการบริการแบนเนอร์โฆษณา[44] และเฟซบุ๊กให้มีการโฆษณาเฉพาะที่อยู่ในรายการลูกค้าของไมโครซอฟท์ และจากข้อมูลของคอมสกอร์ บริษัทสำรวจการตลาดทางอินเทอร์เน็ต ระบุว่า เฟซบุ๊กได้รวบรวมข้อมูลเข้าเว็บไซต์มากกว่า กูเกิลและไมโครซอฟท์ แต่น้อยกว่า ยาฮู![45] ในปี ค.ศ. 2010 ทีมระบบความปลอดภัยได้เพิ่มประโยชน์จากการต่อต้านภัยคุกคามและก่อการร้ายจากผู้ใช้[46] เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 2007 เฟซบุ๊กได้เปิดตัว เฟซบุ๊กบีคอน เป็นการพยายามในการโฆษณาให้เหล่าเพื่อน โดยใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เพื่อนซื้อ แต่เฟซบุ๊กบีคอนก็เกิดความล้มเหลว
โดยปกติแล้ว เฟซบุ๊กจะมีอัตราการคลิกโฆษณาต่อการการแสดงโฆษณา (clickthrough rate) ต่ำกว่าเว็บไซต์ใหญ่ ๆ อื่น ที่ในแบนเนอร์โฆษณา เฟซบุ๊กจะมีอัตราการคลิก 1 ต่อ 5 เทียบกับเว็บไซต์อื่น[47] นั่นหมายถึงว่ามีเปอร์เซ็นต์ที่น้อยกว่า ที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กจะกดคลิกโฆษณา ตัวอย่างเช่น ผู้ใช้กูเกิลคลิกโฆษณาแรกในการค้นหาเฉลี่ย 8% (80,000 คลิกในทุก 1 ล้านการค้นหา) [48] แต่ผู้ใช้เฟซบุ๊กจะคลิกโฆษณาในอัตรา 0.04% (400 คลิกในทุก 1 ล้านหน้า) [49]
แซราห์ สมิท ผู้จัดการบริการงานขายออนไลน์ของเฟซบุ๊ก ยืนยันว่า การรณรงค์โฆษณาประสบความสำเร็จ สามารถมีอัตราการคลิกโฆษณาต่อการการแสดงโฆษณา (CTR) ต่ำอยู่ราว 0.05% ถึง 0.04% แต่อัตราการคลิกโฆษณาต่อการการแสดงโฆษณาสำหรับโฆษณามีแนวโน้มจะตกลงภายใน 2 อาทิตย์[50] เมื่อเปรียบเทียบ CTR กับมายสเปซแล้ว มียอดประมาณ 0.1% ซึ่งเป็น 2.5 เท่าของเฟซบุ๊ก และต่ำกว่านี้เมื่อเทียบกับเว็บไซต์อื่น คำอธิบายเรื่อง CTR สำหรับโฆษณาที่ต่ำในเฟซบุ๊กเนื่องจาก ข้อเท็จจริงที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กเป็นผู้รอบรู้ทางเทคโนโลยีและใช้ซอฟต์แวร์ป้องกันและซ้อนโฆษณา ผู้ใช้มักเป็นคนหนุ่มสาวกว่าและชอบที่จะหลีกเลี่ยงข้อความโฆษณา ที่ในมายสเปซแล้วผู้ใช้จะเข้าถึงเนื้อหามากกว่า ในขณะที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กจะใช้เวลาในการสื่อสารกับเพื่อน เป็นเหตุให้พวกเขาไปสนใจโฆษณา[51]
ในหน้าของตราสินค้าและผลิตภัณฑ์ ในบางบริษัทมีรายงานว่า มี CTR สูงถึง 6.49% ในหน้าวอล[52] อินโวลเวอร์ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการตลาดสังคม ประกาศว่า ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2009 ว่าสามารถบรรลุเป้า CTR ที่ 0.7% ในเฟซบุ๊ก (เป็น 10 เท่าของ CTR การโฆษณาในเฟซบุ๊ก) กับลูกค้าคือ เซเรนาซอฟต์แวร์ ถือเป็นลูกค้ารายแรกของอินโวเวอร์ ที่สามารถมีผู้ชม 1.1 ล้านครั้งจากผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ 8,000 คน[53] จากการศึกษาพบว่า วิดีโอโฆษณาในเฟซบุ๊กนั้น ผู้ใช้ 40% ดูวิดีโอทั้งหมดของวิดีโอ ขณะที่ค่าเฉลี่ยมาตรฐานอยู่ที่ 25% ของโฆษณาแบบแบนเนอร์ในวิดีโอ[54]
เฟซบุ๊กมีลูกจ้างมากกว่า 1,700 คน และมีสำนักงานใน 12 ประเทศ[55] โดยมาร์ก ซักเคอร์เบิร์กถือหุ้นของบริษัท 24% แอ็กเซล พาร์ตเนอร์ถือหุ้น 10% ดิจิตอลสกายเทคโนโลยีส์ถือหุ้น 10%[56] ดัสติน มอสโควิตซ์ถือหุ้น 6% เอ็ดวาร์โด ซาเวรินถือหุ้น 5% ฌอน พาร์กเกอร์ถือหุ้น 4% ปีเตอร์ ธีลถือหุ้น 3% เกรย์ล็อกพาร์ตเนอร์สและเมริเทคแคพิทอลพาร์ตเนอร์ส ถือหุ้นระหว่าง 1 ถึง 2% แต่ละบริษัท ไมโครซอฟท์ถือหุ้น 1.3% ลิ คา-ชิงถือหุ้น 0.75% อินเตอร์พับลิกกรุปถือหุ้นน้อยกว่า 0.5% นอกจากนั้นยังมีลูกจ้างปัจจุบันและอดีตลูกจ้างรวมถึงผู้มีชื่อเสียงอื่นถือหุ้นอีกน้อยกว่า 1% เช่น แมต โคห์เลอร์, เจฟฟ์ รอทส์ไชลด์, วุฒิสมาชิกรัฐแคลิฟอร์เนีย บาร์บารา บอกเซอร์, คริส ฮิวส์ และโอเวน แวน แนตตา ขณะที่รีด ฮอฟแมนและมาร์ก พินคัสเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท และที่เหลืออีก 30% ถือหุ้นโดยลูกจ้าง ผู้มีชื่อเสียงไม่เปิดเผยชื่ออีกจำนวนหนึ่ง รวมถึงนักลงทุนอื่น[57] แอดัม ดี'แองเจโล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีและเพื่อนของซักเคอร์เบิร์กได้ลาออกไปในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2008 มีรายงานอ้างว่าเขาและซักเคอร์เบิร์กเริ่มไม่ลงรอยกัน และเป็นเหตุให้เขาไม่มีความสนใจในการเป็นหุ้นส่วนของบริษัท[58]
[แก้] การตอบรับ
ข้อมูลเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2556 ประเทศที่มีผู้ใช้เฟซบุ๊กมากที่สุด คือ[59]
- สหรัฐอเมริกา 168.7 ล้านคน
- ประเทศบราซิล 64.7 ล้านคน
- ประเทศอินเดีย 62.8 ล้านคน
- ประเทศอินโดนีเซีย 51.5 ล้านคน
- ประเทศเม็กซิโก 40.2 ล้านคน
ห้าประเทศข้างต้นมีสมาชิกทั้งสิ้น 388 ล้านคน หรือราวร้อยละ 38.8 ของสมาชิก 1 พันล้านคนทั่วโลกของเฟซบุ๊ก[60]
[แก้] หมายเหตุ
- ^ ผู้ใช้ประจำในเฟซบุ๊กหมายถึง บัญชีรายชื่อของผู้ใช้ที่เยี่ยมเข้าเว็บไซต์ใน 30 วันที่ผ่านมา
[แก้] อ้างอิง
- ^ Eldon, Eric. (2008-12-18). "2008 Growth Puts Facebook In Better Position to Make Money". VentureBeat. http://venturebeat.com/2008/12/18/2008-growth-puts-facebook-in-better-position-to-make-money/. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-12-19.
- ^ Sengupta, Somini. "Facebook's Prospects May Rest on Trove of Data", The New York Times, May 14, 2012. สืบค้นวันที่ May 15, 2012
- ^ "Facebook Statistics". http://www.facebook.com/press/info.php?statistics. เรียกข้อมูลเมื่อ July 21, 2010.
- ^ Carlson, Nicholas (2010-03-05). "At Last – The Full Story Of How Facebook Was Founded". Business Insider. http://www.businessinsider.com/how-facebook-was-founded-2010-3#we-can-talk-about-that-after-i-get-all-the-basic-functionality-up-tomorrow-night-1.
- ^ Kazeniac, Andy. "Social Networks: Facebook Takes Over Top Spot, Twitter Climbs", Compete.com, 2009-02-09. สืบค้นวันที่ 2009-02-17
- ^ Geier, Thom, Jensen, Jeff; Jordan, Tina; Lyons, Margaret; Markovitz, Adam; Nashawaty, Chris; Pastorek, Whitney; Rice, Lynette; Rottenberg, Josh; Schwartz, Missy; Slezak, Michael; Snierson, Dan; Stack, Tim; Stroup, Kate; Tucker, Ken; Vary, Adam B.; Vozick-Levinson, Simon; Ward, Kate. "THE 100 Greatest Movies, TV Shows, Albums, Books, Characters, Scenes, Episodes, Songs, Dresses, Music Videos, and Trends that entertained us over the 10 Years", Entertainment Weekly, December 11, 2009)
- ^ "facebook.com — Quantcast Audience Profile". Quantcast.com. 2010-10-27. http://www.quantcast.com/facebook.com. เรียกข้อมูลเมื่อ 2010-11-07.
- ^ "Facebook Statistics by country". socialbakers.com/. 2011-1-04. http://www.socialbakers.com/facebook-statistics/?interval=last-6-months. เรียกข้อมูลเมื่อ 2011-1-07.
- ^ Tabak, Alan J.. "Hundreds Register for New Facebook Website", Harvard Crimson, February 9, 2004. สืบค้นวันที่ 2008-11-07
- ^ 10.0 10.1 Locke, Laura. "The Future of Facebook", Time Magazine, July 17, 2007. Retrieved November 13, 2009.
- ^ 11.0 11.1 McGirt, Ellen. "Facebook's Mark Zuckerberg: Hacker. Dropout. CEO. ", Fast Company, May 1, 2007. Retrieved November 5, 2009.
- ^ Kaplan, Katherine (2003-11-19). "Facemash Creator Survives Ad Board". The Harvard Crimson. http://www.thecrimson.com/article.aspx?ref=350143. เรียกข้อมูลเมื่อ 2009-02-05.
- ^ Hoffman, Claire (2008-06-28). "The Battle for Facebook". Rolling Stone. Archived from the original on July 3, 2008. http://web.archive.org/web/20080703220456/http://www.rollingstone.com/news/story/21129674/the_battle_for_facebook/. เรียกข้อมูลเมื่อ 2009-02-05.
- ^ Seward, Zachary M.. "Judge Expresses Skepticism About Facebook Lawsuit", The Wall Street Journal, 2007-07-25. สืบค้นวันที่ 2008-04-30
- ^ Carlson, Nicolas. "In 2004, Mark Zuckerberg Broke Into A Facebook User's Private Email Account", Business Insider, 2010-03-05. สืบค้นวันที่ 2010-03-05
- ^ Brad Stone. "Judge Ends Facebook’s Feud With ConnectU", The New York Times, 2008-06-28
- ^ Phillips, Sarah. "A brief history of Facebook", The Guardian, 2007-07-25. สืบค้นวันที่ 2008-03-07
- ^ 18.0 18.1 "Press Room". Facebook. 2007-01-01. http://www.facebook.com/press/info.php?timeline. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-03-05.
- ^ Rosmarin, Rachel (2006-09-11). "Open Facebook". Forbes. http://www.forbes.com/2006/09/11/facebook-opens-up-cx_rr_0911facebook.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-06-13.
- ^ "Online network created by Harvard students flourishes". The Tufts Daily. http://www.tuftsdaily.com/2.5541/1.600318. เรียกข้อมูลเมื่อ 2009-08-21.
- ^ Rosen, Ellen. "Student's Start-Up Draws Attention and $13 Million", The New York Times, 2005-05-26. สืบค้นวันที่ 2009-05-18
- ^ "Why you should beware of Facebook", The Age, 2008-01-20. สืบค้นวันที่ 2008-04-30
- ^ Williams, Chris (2007-10-01). "Facebook wins Manx battle for face-book.com". The Register. http://www.theregister.co.uk/2007/10/01/facebook_domain_dispute/. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-06-13.|
- ^ Dempsey, Laura. "Facebook is the go-to Web site for students looking to hook up", Dayton Daily News, 2006-08-03
- ^ Lerer, Lisa (2007-01-25). "Why MySpace Doesn't Card". Forbes. http://www.forbes.com/security/2007/01/25/myspace-security-identity-tech-security-cx_ll_0124myspaceage.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-06-13.
- ^ Lacy, Sarah (2006-09-12). "Facebook: Opening the Doors Wider". BusinessWeek. http://www.businessweek.com/technology/content/sep2006/tc20060912_682123.htm?chan=top+news_top+news+index_technology. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-03-09.
- ^ Abram, Carolyn. "Welcome to Facebook, everyone", Facebook, 2006-09-26. สืบค้นวันที่ 2008-03-08
- ^ "Terms of Use". Facebook. 2007-11-15. http://www.facebook.com/terms.php. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-03-05.
- ^ "Facebook and Microsoft Expand Strategic Alliance". Microsoft. 2007-10-24. http://www.microsoft.com/Presspass/press/2007/oct07/10-24FacebookPR.mspx. เรียกข้อมูลเมื่อ 2007-11-08.
- ^ "Facebook Stock For Sale". BusinessWeek. http://www.businessweek.com/magazine/content/08_33/b4096000952343.htm?chan=rss_topEmailedStories_ssi_5. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-08-06.
- ^ "Press Releases". Facebook. 2008-11-30. http://www.facebook.com/press/releases.php?p=59042. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-11-30.
- ^ "Facebook 'cash flow positive,' signs 300M users", Cbc.ca, 2009-09-16. สืบค้นวันที่ 2010-03-23
- ^ Facebook Becomes Third Biggest US Web Company http://www.thejakartaglobe.com/technology/facebook-becomes-third-biggest-us-web-company/406751
- ^ "Facebook Reaches Top Ranking in US". http://weblogs.hitwise.com/heather-dougherty/2010/03/facebook_reaches_top_ranking_i.html.
- ^ "Uzbek authorities have blocked access to Facebook". http://www.ferghana.ru/news.php?id=15794&mode=snews. เรียกข้อมูลเมื่อ 21 October 2010. "China's Facebook Status: Blocked". ABC News. July 8, 2009. http://blogs.abcnews.com/theworldnewser/2009/07/chinas-facebook-status-blocked.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 13 July 2009.
- ^ Ben Stocking. "Vietnam Internet users fear Facebook blackout", The San Francisco Chronicle, 2009-11-17. สืบค้นวันที่ 2009-11-17[ลิงก์เสีย]
- ^ Shahi, Afshin. (July 27, 2008). "Iran's Digital War". Daily News Egypt. http://dailystaregypt.com/article.aspx?ArticleID=15313. เรียกข้อมูลเมื่อ August 16, 2008.
- ^ (รัสเซีย)
- ^ Cooper, Charles. "Pakistan Bans Facebook Over Muhammad Caricature Row – Tech Talk", CBS News, 2010-05-19. สืบค้นวันที่ 2010-06-26
- ^ "Red lines that cannot be crossed", The Economist, July 24, 2008. สืบค้นวันที่ August 17, 2008
- ^ Ben Escurado (2010-11-14). "Saudi Arabia blocks Facebook". TechViewz.Org. http://techviewz.org/2010/11/saudi-arabia-blocks-facebook.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 2010-11-16.
- ^ Benzie, Robert. "Facebook banned for Ontario staffers", TheStar.com, May 3, 2007. สืบค้นวันที่ August 16, 2008
- ^ Stone, Brad. "Facebook to Settle Thorny Lawsuit Over Its Origins", The New York Times (blog), April 7, 2008. สืบค้นวันที่ November 5, 2009
- ^ "Product Overview FAQ: Facebook Ads". Facebook. http://www.facebook.com/press/faq.php#Facebook+Ads. เรียกข้อมูลเมื่อ 2008-03-10.[ลิงก์เสีย]
- ^ Story, Louise. "To Aim Ads, Web Is Keeping Closer Eye on You", The New York Times, 2008-03-10. สืบค้นวันที่ 2008-03-09
- ^ Cluley, Graham (February 1, 2010). "Revealed: Which social networks pose the biggest risk?". Sophos. http://www.sophos.com/blogs/gc/g/2010/02/01/revealed-social-networks-pose-biggest-risk/. เรียกข้อมูลเมื่อ July 12, 2010.
- ^ "Facebook May Revamp Beacon". BusinessWeek. 2007-11-28. http://www.businessweek.com/technology/content/nov2007/tc20071128_366355_page_2.htm. เรียกข้อมูลเมื่อ 2010-07-18.
- ^ "Google AdWords Click Through Rates Per Position". AccuraCast. 2009-10-09. http://www.accuracast.com/seo-weekly/adwords-clickthrough.php. เรียกข้อมูลเมื่อ 2010-07-18.
- ^ Denton, Nick (2007-03-07). "Facebook 'consistently the worst performing site'". Gawker. http://valleywag.gawker.com/242234/facebook-consistently-the-worst-performing-site. เรียกข้อมูลเมื่อ 2010-07-18.
- ^ "Facebook Says Click Through Rates Do Not Match Those At Google". TechPulse 360. 2009-08-12. http://techpulse360.com/2009/08/12/facebook-says-its-click-through-rates-do-not-match-those-at-google/. เรียกข้อมูลเมื่อ 2010-07-18.
- ^ Leggatt, Helen (2007-07-16). "Advertisers disappointed with Facebook's CTR". BizReport. http://www.bizreport.com/2007/07/advertisers_disappointed_with_facebooks_ctr.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 2010-07-18.
- ^ Klaassen, Abbey (2009-08-13). "Facebook's Click-Through Rates Flourish ... for Wall Posts". AdAge. http://adage.com/digitalnext/post?article_id=138442. เรียกข้อมูลเมื่อ 2010-07-18.
- ^ "Involver Delivers Over 10x the Typical Click-Through Rate for Facebook Ad Campaigns". Press release. 2008-07-31. http://www.prweb.com/releases/2008/07/prweb1162804.htm. เรียกข้อมูลเมื่อ 2010-07-18.
- ^ Walsh, Mark (2010-06-15). "Study: Video Ads On Facebook More Engaging Than Outside Sites". MediaPost. http://www.mediapost.com/publications/?fa=Articles.showArticle&art_aid=130217. เรียกข้อมูลเมื่อ 2010-07-18.
- ^ "Facebook Factsheet". http://www.facebook.com/press/info.php?factsheet. เรียกข้อมูลเมื่อ November 21, 2010.
- ^ "Facebook's friend in Russia", CNN, 2010-10-04. สืบค้นวันที่ December 18, 2010
- ^ David Kirkpatrick. The Facebook Effect. p. 322. ISBN 1439102112.
- ^ McCarthy, Caroline (May 11, 2008). "As Facebook goes corporate, Mark Zuckerberg loses an early player". CNET.com. http://news.cnet.com/8301-13577_3-9941488-36.html. เรียกข้อมูลเมื่อ July 12, 2010.
- ^ "Facebook Statistics by country". March 3, 2012. http://www.socialbakers.com/facebook-statistics/.
- ^ "43.1 Million Members of Facebook in Indonesia". February 2, 2012. http://english.kompas.com/read/2012/02/02/08412923/43.1.Million.Members.of.Facebook.in.Indonesia.
[แก้] แหล่งข้อมูลอื่น
|
- บทความทั้งหมดที่มีลิงก์เสีย
- บทความที่มีลิงก์เสีย from ตุลาคม 2553
- Articles with invalid date parameter in template
- บทความที่มีลิงก์เสีย from สิงหาคม 2553
- เฟซบุ๊ก
- เว็บไซต์
- บริการเครือข่ายสังคม
- ซอฟต์แวร์บนแอนดรอยด์
- ซอฟต์แวร์บนไอโอเอส
- ซอฟต์แวร์บนซิมเบียน
- วัฒนธรรมของนักเรียน
- บทความเกี่ยวกับ เว็บไซต์ ที่ยังไม่สมบูรณ์