เขตตะนาวศรี

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เขตตะนาวศรี

တနင်္သာရီတိုင်းဒေသကြီး
การถอดเสียงเป็นอักษรโรมัน
 • พม่าta.nangsayi. tuing: desa. kri:
ธงของเขตตะนาวศรี
ธง
ที่ตั้งเขตตะนาวศรีในประเทศพม่า
ที่ตั้งเขตตะนาวศรีในประเทศพม่า
พิกัด: 13°0′N 98°45′E / 13.000°N 98.750°E / 13.000; 98.750พิกัดภูมิศาสตร์: 13°0′N 98°45′E / 13.000°N 98.750°E / 13.000; 98.750
ประเทศ พม่า
ภูมิภาคใต้
เมืองหลักทวาย
การปกครอง
 • มุขมนตรีแหล่แหล่มอ (เอ็นแอลดี)
พื้นที่
 • ทั้งหมด43,344.9 ตร.กม. (16,735.6 ตร.ไมล์)
ประชากร
 (พ.ศ. 2557)[1]
 • ทั้งหมด1,408,401 คน
 • ความหนาแน่น32 คน/ตร.กม. (84 คน/ตร.ไมล์)
ประชากรศาสตร์
 • กลุ่มชาติพันธุ์พม่า, มอญ, ยะไข่, ไทใหญ่, พม่าเชื้อสายไทย, กะเหรี่ยง, มอแกน, พม่าเชื้อสายมลายู
 • ศาสนาพุทธ, คริสต์, อิสลาม, ฮินดู
เขตเวลาUTC+6:30 (เวลามาตรฐานพม่า)
รหัส ISO 3166MM-05

ตะนาวศรี (พม่า: တနင်္သာရီ; มอญ: ဏၚ်ကသဳ, တနၚ်သြဳ) เป็นเขตที่ตั้งอยู่ทางใต้สุดของประเทศพม่า

ประวัติ[แก้]

ยุคประวัติศาสตร์[แก้]

ในหลักศิลาจารึกมีบันทึกว่า ดินแดนของอาณาจักรไทยทางฝั่งตะวันตกในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ได้แผ่ขยายไปจนถึงหงสาวดีจดอ่าวเบงกอล และในบันทึกของมิชชันนารีที่เข้ามาติดต่อกับไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา

ในด้านประวัติศาสตร์ตะนาวศรีปรากฏตัวและมีฐานะเป็นรัฐอิสระก่อนการเกิดอาณาจักรพะโค เมาะตะมะ อังวะ สุโขทัย และอยุธยา สยามสมัยพระนารายณ์มหาราชมีอาณาเขตแผ่ถึงปัตตานี ลาว ภูเขียว เขมร อังวะ พะโค และมะละกา มีเมืองท่าสำคัญคือมะริดและภูเก็ต และมีหัวเมืองสำคัญคือ พิษณุโลก ตะนาวศรี กรุงเทพมหานคร และเพชรบุรี[2][3][4] ในอดีตที่ผ่านมา เช่นในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชหรือสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมืองมะริดและตะนาวศรี ถือเป็นเมืองที่มีความสำคัญมากของไทย เนื่องจากเป็นเมืองที่พ่อค้าต่างประเทศทางอินเดีย และยุโรปนำสินค้าจากทางเรือขึ้นมาค้าขายในเมืองไทย ถึงกับมีการแต่งตั้งเจ้าเมืองที่มีความรู้ความสามารถให้ปกครองดูแล และด้วยความสำคัญทางยุทธศาสตร์เช่นนี้ ในอดีตไทยกับพม่าจึงมักมีศึกชิงเมืองมะริดและตะนาวศรีกันบ่อยครั้ง เมืองตะนาวศรียังถือเป็นหนึ่งในพระยามหานคร 8 เมือง ที่ต้องเข้ามาถือน้ำพิพัฒน์สัตยา คือ เมืองพิษณุโลก ศรีสัชนาลัย สุโขทัย กำแพงเพชร นครศรีธรรมราช นครราชสีมา ตะนาวศรี และทวาย[5] ตลอดช่วงประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาทั้งไทยและพม่า ได้ผลัดกันเข้าครอบครองดินแดนทั้ง 3 นี้ แม้บางช่วงจะอยู่ในฐานะหัวเมืองที่ไม่ขึ้นกับใครโดยตรง

ยุคกรุงศรีอยุธยาตอนปลายจนถึงยุครัตนโกสินทร์[แก้]

แผนที่การเสียดินแดนของไทย (หมายเลขที่ 2)

ในยุคสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย เมื่อปี พ.ศ. 2302 สมัยสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อัมรินทร์ รัชกาลสุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าอลองพญา กษัตริย์พม่า ได้ยกกองทัพมาตีเมืองทวายซึ่งขณะนั้นแข็งเมืองอยู่ และได้ยกพลตามมาตีเมืองมะริดและตะนาวศรี หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2330 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้พยายามยกทัพไปตีเมืองทวายคืนจากพม่า แม้จะไม่สำเร็จ แต่ในอีก 4 ปีต่อมา คือ พ.ศ. 2334 เมืองทะวาย ตะนาวศรี และมะริด ก็มาขอขึ้นกับไทย

ในปี พ.ศ. 2366 ปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย อังกฤษเริ่มเข้ายึดหัวเมืองชายฝั่งทะเลของพม่า รวมทั้งตะนาวศรี มะริด และทวาย ซึ่งเป็นเมืองหลวงของภาคตะนาวศรี พร้อมทั้งได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าสำรวจทำแผนที่ เพื่อจะได้รู้จักสภาพภูมิประเทศ ทรัพยากร และขอบเขตของเมืองที่ตนยึดได้ เมื่อมาถึงทิวเขาตะนาวศรีจึงได้ทราบว่าฝั่งตะวันออกของทิวเขาตะนาวศรีเป็นอาณาเขตของประเทศไทย

ภายหลังในปี พ.ศ. 2408 จึงได้ส่งข้าหลวงใหญ่อังกฤษประจำอินเดียมาติดต่อกับรัฐบาลไทยเพื่อขอให้มีการปักปันเขตแดนระหว่างไทยกับพม่าของอังกฤษเป็นการถาวร ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

ในช่วงปี พ.ศ. 24082410 มีการตั้งคณะข้าหลวงปักปันเขตแดน เพื่อดำเนินการร่วมสำรวจและชี้แนวเขตแดนของตนตั้งแต่จังหวัดแม่ฮ่องสอน จนถึงจังหวัดระนอง โดยฝ่ายไทยได้แต่งตั้งเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ สมุหกลาโหม ผู้บังคับหัวเมืองฝ่ายใต้เฉียงตะวันตก เป็นข้าหลวงมีอำนาจเต็ม และมีเจ้าพระยายมราช (ครุฑ) พระยาเพชรบุรี และพระยาชุมพร(กล่อม) รับผิดชอบตั้งแต่เขตจังหวัดกาญจนบุรี ถึงจังหวัดระนอง ส่วนอังกฤษได้ตั้ง Lieutenant Arthur Herbert Bagge เป็นข้าหลวงมีอำนาจเต็ม

เมื่อการสำรวจทำแผนที่ และทำบัญชีรายละเอียดเกี่ยวกับที่หมายเขตแดนเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้มีการประชุมจัดทำอนุสัญญาขึ้นที่กรุงเทพ ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2411 และได้มีการให้สัตยาบันกัน ที่กรุงเทพ เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2411 ภายหลังจากฝ่ายไทยได้ตรวจสอบเห็นว่าแผนที่ The Map of Tenasserim and the adjacent provinces of the Kingdom of Siam ที่อังกฤษจัดทำขึ้นใหม่นั้นถูกต้องแล้ว นับแต่นั้นแนวพรมแดนระหว่างไทยกับพม่าตั้งแต่สบเมยถึงปากแม่น้ำกระบุรี จึงได้เปลี่ยนจากเส้นเขตแดนที่ยอมรับโดยพฤตินัย มาเป็นเส้นเขตแดนที่กำหนดขึ้นโดยอนุสัญญา[ต้องการอ้างอิง] บัญชีที่หมายเขตแดนแนบท้ายอนุสัญญา และแผนที่แนบท้ายอนุสัญญา

ในอนุสัญญาได้ระบุเส้นเขตแดนตรงแม่น้ำกระบุรีว่า “..ตั้งแต่เขาถ้ำแดงตามเขาแดนใหญ่มาจนถึงปลายน้ำกระใน เป็นเขตแดนจนถึงปากน้ำปากจั่น ลำแม่น้ำเป็นกลาง เขตแดนฝ่ายละฟาก เกาะในแม่น้ำปากจั่นริมฝั่งข้างอังกฤษเป็นของอังกฤษ ริมฝั่งข้างไทยเป็นของไทย เกาะขวางหน้ามลิวันเป็นของไทย แม่น้ำปากจั่นฝั่งตะวันตกเป็นของอังกฤษ ตลอดจนถึงปลายแหลมวิคตอเรีย ฝั่งตะวันออกตลอดไปเป็นของไทยทั้งสิ้น...”

สรุปว่า ในครั้งนั้นกำหนดให้แม่น้ำเป็นกลาง ให้ฝั่งเป็นเขตแดน ฝั่งด้านตะวันตกเป็นของพม่า ฝั่งด้านตะวันออกเป็นของไทย สำหรับเกาะในแม่น้ำถ้าชิดฝั่งตะวันตกก็ให้เป็นของอังกฤษ ถ้าชิดฝั่งตะวันออกก็ให้เป็นของไทย สำหรับเกาะขวางให้เป็นของไทย

กล่าวได้ว่า ในการให้สัตยาบันครั้งนี้ถือเป็นการยอมรับอย่างเป็นทางการตามข้อตกลงระหว่างประเทศ ว่าเมืองมะริด ทวาย และตะนาวศรี เป็นดินแดนของประเทศพม่าที่อยู่ในบังคับของอังกฤษ นับตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2411 เป็นต้นมา

การปรับปรุงเส้นเขตแดนใหม่กับไทย[แก้]

ในปี พ.ศ. 2379 แม่น้ำปากจั่นที่กั้นเขตแดนระหว่างจังหวัดระนองของประเทศไทย กับเขตตะนาวศรีของประเทศพม่าเปลี่ยนทางเดิน รัฐบาลไทยจึงได้ขอปรับปรุงเส้นเขตแดนนี้กับอังกฤษ ซึ่งทำให้ไทยเสียดินแดนที่เป็นเกาะไปประมาณ 100 ไร่ แต่ได้คืนมา 186 ไร่ และดินแดนที่ได้คืนมานี้ประชากรส่วนใหญ่ก็เป็นชาวไทย[6]

หลังได้รับเอกราชจากอังกฤษ[แก้]

หลังจากได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี ค.ศ. 1948 ดินแดนทางตะวันออกเฉียงเหนือก็ได้รับการจัดตั้งเป็นรัฐกะเหรี่ยง ต่อมาใน ค.ศ. 1974 ดินแดนทางตอนเหนือที่เหลือของเขตตะนาวศรีก็ได้รับการจัดตั้งเป็นรัฐมอญ[7] แต่เดิมเมืองเอกของเขตตะนาวศรีคือเมืองเมาะลำเลิง (มะละแหม่ง) แต่เมื่อมีการจัดตั้งเป็นรัฐมอญแล้ว เมืองเมาะลำเลิงจึงตกอยู่ในการปกครองของรัฐมอญ ต่อมาจึงมีการจัดตั้งเมืองทวายเป็นเมืองเอกของเขตตะนาวศรีแทนเมืองเมาะลำเลิงที่อยู่ในเขตของรัฐมอญ[7] ต่อมาในปี ค.ศ. 1989 ทางการพม่าได้ทำการเปลี่ยนแปลงการสะกดชื่อเขตตะนาวศรีในอักษรโรมัน โดยจากเดิมสะกดว่า Tenasserim เปลี่ยนเป็น Tanintharyi และออกเสียงเป็นภาษาพม่าเป็น ตะนี่นตายี นั่นเอง

ที่ตั้ง[แก้]

การแบ่งเขตการปกครอง[แก้]

เขตตะนาวศรีมีการปกครองแบบเขตไม่ใช่รัฐ ไม่ได้มีกองกำลังแบ่งแยกดินแดนเหมือนชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ การปกครองของเขตตะนาวศรีมี 3 จังหวัด

จังหวัด อำเภอ
อักษรไทย อักษรพม่า อักษรโรมัน อักษรไทย อักษรพม่า อักษรโรมัน
 ทวาย  ထားဝယ်  Dawei  ทวาย  ထားဝယ်  Dawei
 ล่องโลน  လောင်းလုံ  Launglon
 ตะแยะช่อง  သရက်ချောင်း  Thayetchaung
 เย-พยู  ရေဖြူ  Yebyu
 มะริด  မြိတ်  Myeik  มะริด  မြိတ်  Myeik
 จู้นซุ  ကျွန်းစု  Kyunsu
 ปะลอ  ပုလော  Palaw
 ตะนาวศรี  တနင်္သာရီ  Tanintharyi
 เกาะสอง  ကော့သောင်း  Kawthaung  เกาะสอง  ကော့သောင်း  Kawthaung
 บกเปี้ยน  ဘုတ်ပြင်း  Bokpyin

ประชากร[แก้]

ประชากรมี 1.2 ล้านคน และมีหลากหลายชาติพันธุ์ ส่วนใหญ่จะเป็นชาวมอญ, ชาวทวาย, ชาวพม่า และชาวกะเหรี่ยง พวกที่ถือตัวเป็นชาวไทยส่วนใหญ่จะอาศัยทางใต้ของเขตตะนาวศรี นอกจากนี้ยังมีกลุ่มชาวไทยเชื้อสายลาวอพยพออกมาจากแดนไทยแถบจังหวัดราชบุรี ช่วงก่อนปี พ.ศ. 2394 โดยหนีไปยังเมืองทวาย, เมาะลำเลิง, มะริด และตะนาวศรี และนำสินค้าเข้ามาค้าขายที่บ้านจางวางบัวโรย แขวงเมืองราชบุรี[8]

หลังจากการเสียดินแดนบริเวณเขตตะนาวศรี ชาวไทยที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้จึงกลายเป็นประชาชนชาวพม่าไป โดยในปลายปี พ.ศ. 2549 ได้มีคนเชื้อสายไทยกว่า 3,000 คน อพยพเข้าสู่ฝั่งไทย แต่อย่างก็ตามพวกเขาเหล่านี้ก็ไม่ได้รับสัญชาติไทย และใช้ชีวิตเช่นเดียวกับแรงงานชาวพม่าทั่วไป[9]

ภาษา[แก้]

ในอดีตนั้น ประชากรส่วนใหญ่ในดินแดนแถบนี้ใช้ภาษามอญ ภาษาไทย ภาษากะเหรี่ยง และภาษามลายู มะริดในตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 แบ่งการปกครองเป็น 5 อำเภอ (township) คือ มะริด ปะลอ (Palaw) ตะนาวศรี บกเปี้ยน (Bokpyin)[10] และมะลิวัลย์ (Maliwun)[11] บกเปี้ยนมีประชากร เมื่อปี พ.ศ. 2444 ราว 7,255 คน ร้อยละ 18 พูดภาษาพม่า ร้อยละ 53 พูดภาษาสยาม ร้อยละ 20 พูดภาษามลายู[12] ตำบลมะลิวัลย์มีประชากรประมาณ 7,719 คน ประกอบไปด้วยชาวสยาม ชาวจีน และมลายู ตำบลตะนาวศรีตั้งอยู่ทางตะวันออกสุดของอำเภอมะริด และอยู่ติดแดนสยาม ประชากรปี พ.ศ. 2434 มีประมาณ 8,389 คน เพิ่มขึ้นเป็น 10,712 คน ในปี พ.ศ. 2444 [13]

ปัจจุบันประชากรส่วนใหญ่ของเขตตะนาวศรีใช้ภาษาพม่าในการสื่อสารระหว่างกลุ่ม และเป็นภาษาราชการ ส่วนทางใต้จะมีกลุ่มคนพูดภาษาไทย ภาษาไทยถิ่นใต้ และภาษามลายูอยู่บ้าง ส่วนกลุ่มคนเชื้อสายไทยภาคตอนบนของเขตตะนาวศรี นอกจากนี้ยังมีการใช้ภาษาไทยถิ่นอีสานในตำบลคลองใหญ่ ซึ่งมีบรรพบุรุษอพยพมาจากจังหวัดเพชรบุรีและจังหวัดอุดรธานีตั้งแต่ครั้งสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง และสืบทอดวัฒนธรรมจากอีสาน เช่น การทำประเพณีบุญบั้งไฟ และเลี้ยงปู่ตาหรือผีประจำหมู่บ้าน

ศาสนา[แก้]

ประชากรส่วนใหญ่ของตะนาวศรีส่วนมาก นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท ส่วนศาสนาอิสลาม อยู่ในกลุ่มของชาวพม่าเชื้อสายมลายู, ชาวไทยมุสลิม, ชาวโรฮีนจา และชาวพม่าเชื้อสายอินเดียบางส่วน โดยเฉพาะทางตอนใต้ของเขตตะนาวศรีซึ่งมีอาศัยอยู่หนาแน่น ส่วนศาสนาคริสต์นั้นแม้จะมีประวัติศาสตร์มานานในดินแดนนี้ ตั้งแต่ก่อนสมัยอาณานิคม แต่ก็มีจำนวนน้อย โดยมีชุมชนเชื้อสายเวียดนามที่อพยพเข้ามาในเขตตะนาวศรีตั้งแต่รัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยเข้ามาอาศัยในเมืองมะริด และตะนาวศรี โดยมีบาทหลวงชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ฝึกสอนศาสนา และขณะเดียวกันก็ลี้ภัยทางศาสนาจากเวียดนามด้วย[14]

ประเพณีท้องถิ่น[แก้]

  • ลุจา (Lukya) ที่มะริด
  • ลอยบาตร ที่ทวาย
  • ฝังไห ที่เมืองเย (Ye)
  • แห่พระเจ้า 28 องค์ ที่ทวาย มะริด และปะลอ (Palaw)

อ้างอิง[แก้]

  1. Census Report. The 2014 Myanmar Population and Housing Census. 2. Naypyitaw: Ministry of Immigration and Population. May 2015. p. 17.
  2. Gervaise 1998: 7, 15, 40, 58
  3. Choisy 1993: 186, 213, 232-237
  4. Smithies 1995
  5. มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง. ประมวลกฎหมายรัชกาลที่ 1 จุลศักราช 1166 พิมพ์ตามฉะบับหลวง ตรา 3 ดวง เล่ม 1. กรุงเทพฯ, ม.ม.ป., หน้า 58-59
  6. โรม บุนนาค. ชุดบันทึกแผ่นดิน ตอน เรื่องเก่าเล่าสนุก ๒. กรุงเทพฯ : สยามบันทึก.2552, หน้า 171 ISBN 978-611-7180-00-2
  7. 7.0 7.1 "Myanmar Divisions". Statoids. สืบค้นเมื่อ 2009-04-10.
  8. กองจดหมายเหตุ กรมศิลปากร, รัชกาลที่ 4, รล-กห, จ.ศ. 1217 (พ.ศ. 2398) เล่ม 9, หน้า 228-229
  9. "คนไทยพลัดถิ่นที่จังหวัดระนอง : คนไร้รัฐในภาคใต้ของประเทศไทย". คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2017-02-17. สืบค้นเมื่อ 2010-03-15.
  10. ปกเปี้ยน บางทีอ่านบกเปี้ยน และบางครั้งเรียกว่าบอกแปง
  11. มะลิวัลย์ พม่าเรียกมะลิยุน สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเรียกมะลิวัน
  12. Imperial Gazetteer of India 8:263
  13. Imperial Gazetteer of India 17: 298
  14. ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 36, ฉบับหอสมุดแห่งชาติ เล่ม 9, (พระนคร:ก้าวหน้า, 2507) หน้า 150