สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พระนามเต็ม | สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร สิริกิตยสมบูรณสวางควัฒน์ วรขัตติยราชสันตติวงศ์ มหิตลพงศอดุลยเดช จักรีนเรศยุพราชวิสุทธิ สยามมกุฎราชกุมาร |
พระอิสริยยศ | สยามมกุฎราชกุมาร,เจ้าฟ้า |
ฐานันดรศักดิ์ | สมเด็จพระยุพราช |
ราชวงศ์ | ราชวงศ์จักรี |
พระราชสมภพ | 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2495 (อายุ 57 ปี) |
พระราชชนก | พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช |
พระราชชนนี | สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ |
พระวรชายา | พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ |
พระโอรส/ธิดา | พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ หม่อมเจ้าจุฑาวัชร มหิดล หม่อมเจ้าวัชรเรศร มหิดล หม่อมเจ้าจักรีวัชร มหิดล หม่อมเจ้าวัชรวีร์ มหิดล |
พลเอก พลเรือเอก พลอากาศเอก สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร พระราชโอรสพระองค์เดียวในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเป็นสยามมกุฎราชกุมารพระองค์แรก ในสมัยการปกครองระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย
เนื้อหา |
[แก้] พระราชประวัติ
[แก้] วันพระราชสมภพ
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร มีพระนามเดิมว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ บรมจักรยาดิศรสันตติวงศ เทเวศรธำรงสุบริบาล อภิคุณูประการมหิตลาดุลเดช ภูมิพลนเรศวรางกูร กิตติสิริสมบูรณ์สวางควัฒน์ บรมขัตติยราชกุมาร เป็นพระราชโอรสพระองค์เดียว ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระราชสมภพ เมื่อวันจันทร์ ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2495 เวลา 17 นาฬิกา 45 นาที ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต
[แก้] พระราชพิธีสมโภชเดือน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธีสมโภชเดือนขึ้นพระอู่ขึ้น ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ในวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2495โดยสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้าทรงเป็นประธานเจริญพระพุทธมนต์ในเย็นวันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2495 เช้าวันรุ่งขึ้น (15 กันยายน) จึงมีพิธีสงฆ์และพิธีพราหมณ์ในห้องพิธี เริ่มด้วยพอถึงพระฤกษ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงจรดพระกรรบิดกริบพระเกศา ทรงเจิม ทรงผูกด้ายพระขวัญ พระสงฆ์สวดชัยมงคลคาถา พราหมณ์ประกอบพิธีลอยกุ้ง ปลาทอง มะพร้าวเงิน มะพร้าวทองลงในพระขันสาคร แล้วพระสงฆ์ถวายอดิเรก ถวายพระพรลา พระมหาราชครูเชิญเสด็จขึ้นพระอู่และเห่กล่อมเปิดศิวาลัยไกรลาศตามประเพณีพิธีของพราหมณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงวางพระราชภัณฑ์ลงในพระอู่ตามพระราชประเพณีแล้ว พระมหาราชครูเชิญสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ ฯ ขึ้นพระอู่แล้ว พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาทเวียนเทียนครบรอบตามประเพณี สภาวัฒนธรรมแห่งชาติได้จัดขับไม้มโหรีขับกล่อมถวายพระพรในวาระนี้ด้วย ในการนี้มีการถ่ายทอดเสียงในพระราชพิธีทางวิทยุไปทั่วประเทศ [1] [2]
[แก้] สมเด็จพระยุพราช
เมื่อทรงมีพระชนมายุครบ ๒๐ ชันษา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนา สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ ขึ้นเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2515 ตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า "สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร สิริกิตยสมบูรณสวางควัฒน์ วรขัตติยราชสันตติวงศ์ มหิตลพงศอดุลยเดช จักรีนเรศยุพราชวิสุทธิ สยามมกุฎราชกุมาร" [3][4]
และเมื่อทรงมีเจริญวัยอันควรจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระราชอิสริยยศแต่งตั้งเป็น สมเด็จพระยุพราช สยามมกุฎราชกุมาร หรือ องค์รัชทายาท
[แก้] พระราชภารกิจด้านการศึกษา
[แก้] การศึกษาเบื้องต้น
ทรงสำเร็จการศึกษาขั้นต้นในระดับอนุบาล รุ่นที่ ๒ จากโรงเรียนจิตรลดา แล้วจึงเสด็จฯ ไปทรงศึกษาต่อในระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนคิงส์มีด แคว้นซัสเซกส์ และในระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนมิลฟิลด์ แคว้นซอมเมอร์เซท ประเทศอังกฤษ
[แก้] การศึกษาวิชาทหาร
หลังจากนั้นเมื่อทรงสำเร็จการศึกษาเบื้องต้นแล้ว ได้ทรงศึกษาต่อวิชาทหารที่โรงเรียนคิงส์สกูล ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว ได้ทรงการศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีสาขาอัษรศาสตร์ (ด้านการทหาร) จากมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย
[แก้] การศึกษาต่อในประเทศไทย
และหลังจากเสด็จกลับประเทศไทย ทรงรับราชการทหาร และศึกษาต่อที่โรงเรียนเสนาธิการทหารบก รุ่นที่ 46 เมื่อ พ.ศ. 2520 และทรงผนวช เมื่อ พ.ศ. 2521 จากนั้นทรงศึกษาที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช รุ่นที่ 2 เมื่อ พ.ศ. 2525 และหลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร จากประเทศอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. 2533 [5]
[แก้] การฝึกอบรมวิชาทหาร
- เดือนมกราคม ถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ ทรงเข้ารับการฝึกเพิ่มเติม และศึกษางานด้านการทหาร ณ เครือรัฐออสเตรเลีย
- ทรงเข้ารับการฝึกหลักสูตรวิชาอาวุธพิเศษ การทำลายและยุทธวิธีรบนอกแบบ หลักสูตรต้นหนชั้นสูง หลักสูตรการลาดตระเวน และต้นหนชั้นสูง รวมทั้งหลักสูตรส่งทางอากาศ
- พ.ศ. ๒๕๒๒ ถึงพ.ศ. ๒๕๒๓ ทรงเข้ารับการฝึกหลักสูตรการฝึกบินเฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไป แบบ ยู เอซ - ๑ เอซ ของบริษัท เบลล์
รวมชั่วโมงบิน ๕๔.๓๖ ชั่วโมง
- เดือนกุมภาพันธ์ ถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๓ ทรงเข้ารับการฝึกตามโครงการช่วยเหลือทางทหาร กองทัพบกสหรัฐอเมริกา รวม ๖ หลักสูตร ได้แก่ หลักสูตรอาวุธประจำกายและเครื่องยิงลูกระเบิด หลักสูตรการปฏิบัติการพิเศษ หลักสูตรการต่อต้านการก่อการร้าย หลักสูตรการสงครามแบบกองโจร หลักสูตรการฝึกการดำรงชีพ และหลักสูตรส่งทางอากาศ ( ทางบกและทางทะเล )
- เดือนมิถุนายน ถึงเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๓ทรงเข้ารับการฝึกหลักสูตรการฝึกบินเฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไป แบบ ยู เอซ - ๑ เอซ กับเฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไป แบบ ยู เอซ - ๑ เอ็น ของบริษัทเบลล์ รวมชั่วโมงบิน ๒๕๙.๕๖๐ ชั่วโมง
- เดือนกันยายน ถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๓ทรงเข้ารับการฝึกหลักสูตรการฝึกบินเฮลิคอปเตอร์โจมตี ติดอาวุธ แบบ ยู เอซ - ๑ เอซ ของบริษัทเบลล์ จากกองทัพไทย รวมชั่วโมงบิน ๕๔.๕๐ ชั่วโมง
- เดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๓ ถึง พ.ศ. ๒๕๒๔ทรงเข้ารับการฝึกหลักสูตรการฝึกบินเครื่องบินปีกติดลำตัว แบบ Sial - Marchetti SF 120 MT รวมชั่วโมงบิน ๑๗๒.๒๐ ชั่วโมง
- เดือนมีนาคม ถึงเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๔ ทรงเข้ารับการฝึกหลักสูตรการฝึกบินเครื่องบินปีกติดลำตัว แบบ Cessna T - 37 รวมชั่วโมงบิน ๒๔๐ ชั่วโมง
- เดือนตุลาคม ถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๔ เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรกิจการทางทหารและตำรวจ ณ สหราชอาณาจักร ราชอาราจักรเบลเยียม ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี สาธารณรัฐฝรั่งเศส และเครือรัฐออสเตรเลีย
- เดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๕ ถึง พ.ศ. ๒๕๒๖ทรงเข้ารับการฝึกหลักสูตรการฝึกบินเปลี่ยนเป็นเครื่องบินขับไล่ แบบ เอฟ - ๕ ( พิเศษ ) รุ่นที่ ๘๓ ( พุทธศักราช ๒๕๒๖ ) เอ ที ดับบลิว และหลักสูตรเครื่องบินขับไล่ชั้นสูง รุ่นที่ ๘๓ ( พุทธศักราช ๒๕๒๖ ) เอ วี ดับบลิว ณ ฐานทัพอากาศวิลเลียมส์ มลรัฐอริโซนา สหรัฐอเมริกา รวนชั่วโมงบิน ๒,๐๐๐ ชั่วโมง
- พ.ศ. ๒๕๓๒ ทรงผ่านการฝึกบินด้วยเครื่องบินใบพัด แบบมาร์คเคตตี้ของฝูงขั้นปลาย โรงเรียนการบิน กองทักอากาศ และการฝึกบิน ด้วยเครื่องบินไอพ่น แบบ ที ๓๓ และหลักสูตรนักบินขับไล่ไอพ่นสมรรถนะสูงกับเครื่องบิน ขับไล่ แบบ เอฟ ๕ อี/เอฟ ของกองบิน ๑ ฝูงบิน ๑๐๒ โดยทรงทำชั่วโมงบิน ๒๐๐ ชั่วโมง ในเบื้องต้น และทรงทำชั่วโมงบินสูงสุด ๑,๐๐๐ ชั่วโมง และทรงเข้าร่วมการแข่งขันการใช้อาวุธทางอากาศประจำปี ซึ่งทรงทำคะแนนได้สูงตามกติกา กองทัพอากาศได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเครื่องหมายความสามารถในการใช้อาวุธทางอากาศชั้นที่ ๑ ประเภทอาวุธระเบิดสี่ดาว อาวุธจรวดสี่ดาว และอาวุธปืนสี่ดาว ในศกเดียวกัน [7]
- เดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ ทรงเข้ารับการฝึกหลักสูตรการในฐานะนักบินโบอิ้ง ๗๓๗ - ๔๐๐ จากบริษัท การบินไทย จำกัด ( มหาชน ) และทรงผ่านการตรวจสอบจากการขนส่งทางอากาศ กับทรงได้รับใบอนุญาตนักบินพาณิชย์เอก
- เดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๘ ทรงเข้ารับการฝึกหลักสูตรกัปตัน จากบริษัท การบินไทย จำกัด ( มหาชน ) และทรงรับการทูลเกล้าทูลกระหม่อม ถวายตำแหน่งนักบินที่ ๑ ในพุทธศักราช ๒๕๔๙ ทั้งนี้ ทรงปฏิบัติหน้าที่นักบินที่ ๑ อย่างดีเยี่ยมสม่ำเสมอ รวมชั่วโมงบิน ๓,๐๐๐ ชั่วโมง
เดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ กรมการขนส่งทางอากาศได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายใบรับรองในตำแหน่งครูฝึกภาคอากาศกับตำแหน่ง ครูฝึกเครื่องช่วยฝึกบิน สำหรับเครื่องบินโบอิ้ง ๗๓๗ - ๔๐๐ [8]
[แก้] พระราชภาระหน้าที่
[แก้] ทางราชการ
- ทรงเข้าประจำการ ณ กองปฏิบัติการทางอากาศพิเศษ นครเพิรธ รัฐออสเตรเลียตะวันตก ประเทศออสเตรเลีย
- ทรงเข้าร่วมปฏิบัติการรบในการต่อต้านการก่อการร้าย บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งการคุ้มกันพื้นที่บริเวณ รอบค่ายผู้อพยพชาวกัมพูชา ณ เขาล้าน จังหวัดตราด[3]
- 9 ธันวาคม พ.ศ. 2518 ทรงเข้ารับราชการเป็นนายทหารประจำกรมข่าวทหารบกกระทรวงกลาโหม
- 6 ตุลาคม พ.ศ. 2521 ทรงดำรงตำแหน่งรองผู้บังคับกองพันทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์
- 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2523 ทรงดำรงตำแหน่งผู้บังคับกองพัน ทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์
- 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2527 ทรงดำรงตำแหน่ง ผู้บังคับการ กรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์
- 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2531 ทรงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการ ทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์
- 9 มกราคม พ.ศ. 2535 ทรงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ สำนักผู้บัญชาการทหารสูงสุด[9]
[แก้] ด้านการบิน
- 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2537 ทรงปฏิบัติหน้าที่ครูการบินเครื่องบินขับไล่แบบเอฟ-5 อี/เอฟ[3]
- พ.ศ. 2552ทรงปฏิบัติหน้าที่นักบินที่ ๑ เครื่องบินโบอิ้ง ๗๓๗ - ๔๐๐ ในเที่ยวบินสายใยรักแห่งครอบครัว ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย และจัดหาอุปกรณ์ด้านการแพทย์ สำหรับโรงพยาบาลใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ( เที่ยวบินที่ ทีจี ๘๘๗๐ ( กรุงเทพมหานครถึงจังหวัดเชียงใหม่ ) และเที่ยวบินที่ ทีจี ๘๘๗๑ ( จังหวัดเชียงใหม่ถึงกรุงเทพมหานคร ) )
[แก้] พระราชกรณียกิจ
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจมากมายนานัปการณ์ เพื่อประโยชน์ของพสกนิกรชาวไทยทั้งประเทศ จนสำเร็จบรรลุผลด้วยดี ดังต่อไปนี้ [10]
[แก้] ด้านการทหาร
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงสนพระราชหฤทัยด้านการทหารมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ โดยได้เสด็จฯไปเยี่ยมที่ตั้งกองทหารหน่วยต่างๆอยู่เสมอ จากการที่ได้ทรงศึกษาด้านวิชาทหารมานาน จึงทรงมีความรู้เชี่ยวชาญอย่างมาก และได้พระราชทานความรู้เหล่านั้นให้แก่ทหาร ๓ เหล่าทัพ
ทรงปฏิบัติพระองค์เป็นแบบอย่างแก่นายทหาร ทรงสนพระทัย เอาพระทัยใส่ในความเป็นอยู่ทุกข์สุขของทหารผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาอย่างทั่วถึง รวมทั้งพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เป็นทุนการศึกษาแก่บุตรของทหาร สิ่งเหล่านี้ล้วนก่อให้เกิดความเทิดทูนและความจงรักภักดีแก่เหล่าทหารเป็นอย่างยิ่ง
[แก้] ด้านการศึกษา
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเล็งเห็นความสำคัญของการศึกษาทุกระดับ โดยเฉพาะการศึกษาของบุตรหลานข้าราชบริพารซึ่งอยู่ในวัยก่อนประถมศึกษาเป็นจำนวนมาก จึงพระราชทานพระพระราชานุญาตให้ใช้อาคารของกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ เป็นที่ตั้งของโรงเรียนอนุบาลและพระราชทานชิ่อว่า โรงเรียนอนุบาลทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ จัดการเรียนการสอนเฉพาะชั้นอนุบาล และในปีการศึกษา พ.ศ. ๒๕๓๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ย้ายโรงเรียนนี้ไปยังสถานที่ใหม่ตรงข้ามกับพระตำหนักนนทบุรี ได้เปิดทำการสอนทั้งในระดับอนุบาลและระดับประถมศึกษา
นอกจากนี้ยังทรงมีพระราชประสงค์ที่จะกระจายการศึกษาอย่างทั่วถึงสู่ท้องถิ่นทุรกันดารเพื่อให้เยาวชนในท้องถิ่นนั้นๆ ได้มีโอกาสได้รับการศึกษา จึงพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ สมทบเป็นค่าก่อสร้างโรงเรียนมัธยมศึกษาที่ตั้งอยู่ในชนบทห่างไกลลคมนาคมไม่สะดวก ซึ่งกระกระทรวงศึกษาธิการได้สนองพระราชประสงค์ด้วยการน้อมเกล้าฯ ถวายโรงเรียนในระดับมัธยมศึกษาจำนวน ๖ โรงเรียน เป็นโรงเรียนในพระราชูปถัมภ์ ได้แก่ โรงเรียนมัธยมพัชรกิติยาภา อ.ปลาปาก จ.นครพนม( ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนมัธยมพัชรกิติยาภา ๑ ) โรงเรียนมัธยมจุฑาวัชร อ.ลานกระลือ จ.กำแพงเพชร( ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนมัธยมพัชรกิติยาภา ๒ ) โรงเรียนมัธยมวัชเรศร อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี( ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนมัธยมพัชรกิติยาภา ๓ ) โรงเรียนมัธยมจักรีวัชร อ.รัตนภูมิ จ.สงขลา( ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนมัธยมสิริวัณวรี ๒ ) โรงเรียนมัธยมวัชรวีร์ อ.ท่าตะเกียบ จ.ฉะเชิงเทรา( ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนมัธยมสิริวัณวรี ๓ ) และ โรงเรียนบุษย์นำเพชร อ.เมือง จ.อุดรธานี( ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนมัธยมสิริวัณวรี ๑ )
[แก้] ด้านการแพทย์และสาธารณสุข
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงมีพระราชหฤทัยที่ทรงมุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของราษฎร เนื่องจากการรักษาความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกาย เป็นปัจจัยที่สำคัญของเศรษฐกิจที่ดีและความมั่นคงของสังคมเพราะผู้ที่มีสุขภาพอนามัยที่ดีสามารถที่จะประกอบอาชีพได้อย่างเต็มกำลังความสามารถ แต่ราษฎรที่อาศัยอยู่ในชนบทที่ห่างไกลจากความเจริญก้าวหน้าส่วนใหญ่ มีฐานะความเป็นอยู่ที่ยากจนเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีแพทย์ที่จะทำให้การดูแลรักา จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชขึ้น เพื่อให้การรักษาพยาบาลผู้เจ็บป่วยในถิ่นทุรกันดาร ทำให้ราษฎรเหล่านี้มีสุขภาพอนามัยที่ดีขึ้น การเจ็บไข้ได้ป่วยลดน้อยลง
[แก้] ด้านศาสนา
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ได้ทรงแสดงพระองค์เป็นพุทธมามกะที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2509 ก่อนเสด็จพระราชดำเนินไปทรงศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ
นอกจากนี้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงมีพระราชศรัทธาออกบวชในพระพุทธศาสนา โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้ทรงพระกรุณาโปรดฯ ให้จัดการพระราชพิธีทรงผนวชสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ณ พัทธสีมาวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2521 โดยมีสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (วาสนมหาเถร) เป็นพระราชอุปัธยาจารย์ ได้รับถวายพระสมณนามว่า "วชิราลงฺกรโณ" และได้ประทับอยู่ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ตลอดจนทรงลาสิกขาในวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2521 [3]
สำหรับพระราชภารกิจทางด้านพระพุทธศาสนานั้น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปปฏิบัติพระราชกิจทางพระพุทธศาสนาอย่างสม่ำเสมอ เช่น ทรงเสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปทรงเปลี่ยนเครื่องทรงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตามฤดูกาล เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศลในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เช่นวันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา และการถวายผ้าพระกฐินหลวงตามวัดต่าง ๆ เป็นต้น
[แก้] ด้านการเกษตร
ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศประกอบอาชีพทางการเกษตร แต่ประชากรมีฐานะความเป็นอยู่ที่ยากจนเนื่องจากมีรายได้น้อย และเป็นรายได้ที่ไม่แน่นอน เพราะผลผลิตส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับธรรมชาติ ราษฎรขาดความรู้ในวิชาการเกษตรแผนใหม่ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงห่วงใยและได้ทรงทุ่มเทในการช่วยเหลือ ทั้งในด่านแหล่งน้ำ ดิน ตลอดจนพันธุ์พืช โดยได้ทรงส่งเสริมการทำนาอย่างแท้จริง เพื่อให้ข้าวเป็นพืชพันธุ์ที่อยู่เคียงคู่กับคำว่าไทยตลอดมาและชาวนาที่ปลูกข้าวมีฐานะความเป็นอยู่ที่ดี
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ได้ทรงดำเนินตามรอยพระยุคลบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการช่วยเหลือเกษตรกรและส่งเสริมการเพาะปลูก ด้วยการเสด็จฯไปทรงทำปุ๋ยหมักจากผักตบชวาและวัชพืชอื่นๆ เป็นปฐมฤกษ์ เพื่อพระราชทานแก่เกษตรกร สำหรับนำไปใช้ในการเพาะปลูกเป็นการเพิ่มผลผลิต ที่บ้านแหลมสะแก ต.เดิมบาง อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๘
[แก้] ด้านเยาวชน
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงตระหนักดีว่า การที่ประเทศชาติจะมีความเจริญก้าวหน้าได้นั้นขึ้นอยู่กับเยาวชนปัจจุบัน จึงทรงเอาพระราชหฤทัยใส่ต่อเยาวชน ด้วยการเสด็จฯไปทรงเยี่ยมเยาวชนในตำบลต่างๆ ทรงสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์เยาวชนตำบล รวมทั้งได้ทรงเป็นประธานงานวันเยาวชนแห่งชาติ วันที่ ๒๐ กันยายน ของทุกปี และ ทรงเป็นประธานในพิธีปฏิญาณตนและสวนสนามของลูกเสือและเนตนารี และสมาชิกผู้ทำประโยชน์ ทั้งนี้เพื่อที่จะให้เยาวชนเป็นพลเมืองที่ดีของชาติบ้านเมือง
[แก้] พระเกียรติยศ
[แก้] เครื่องราชอิสริยาภรณ์
[แก้] เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย
- เครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์
- เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์
- เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นปฐมจุลจอมเกล้าวิเศษ
- เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นสูงสุด มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก
- เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นสูงสุด มหาวชิรมงกุฎ
- เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ ชั้น 1 ปฐมดิเรกคุณาภรณ์
- เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นสิริยิ่งรามกีรติ ลูกเสือสดุดีชั้นพิเศษ
- เหรียญกล้าหาญ
- เหรียญพิทักษ์เสรีชน ชั้นที่ 1
- เหรียญราชการชายแดน
- เหรียญจักรมาลา
- เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 9 ชั้น 1
- เหรียญราชรุจิ ทอง รัชกาลที่ 9
- เหรียญกาชาดสมนาคุณ ชั้นที่ 1
[แก้] เครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ
- Special class of the Grand Cross of the Order of Merit of the Federal ประเทศเยอรมนี
- Grand Cordon of the Supreme Order of the Chrysanthemum ประเทศญี่ปุ่น
- Grand Cross the Order of the Elephant ประเทศเดนมาร์ก
- Grand Cross of the Order of the Darjah Kebesaran Kerabat Terengganu Yang Amat Mulia Darjah Yang Kedua Panglima ประเทศมาเลเซีย
- Grand Cross of the Royal and Distinguished Spanish Order of Carlos III ประเทศสเปน
- Grand Cross of the Royal Victorian Chain ไอร์แสนด์เหนือ
[แก้] พระยศทหาร
- พ.ศ. ๒๕๐๘ ร้อยตรี เหล่าทหารราบ เรือตรี พรรคนาวิน เรืออากาศตรี เหล่าทหารนักบิน และนายทหารพิเศษประจำกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ นายทหารพิเศษประจำกองทัพเรือ และนายทหารพิเศษประจำโรงเรียนนายเรืออากาศ กรมยุทธศึกษาทหารอากาศ กองทัพอากาศ
- พ.ศ. ๒๕๑๔ ร้อยโท เรือโท และ เรืออากาศโท
- พ.ศ. ๒๕๑๘ ร้อยเอก เรือเอก และ เรืออากาศเอก และ นายทหารประจำกรมข่าวทหารบก กองทัพบก กระทรวงกลาโหม
- พ.ศ. ๒๕๒๐ พันตรี นาวาตรี และ นาวาอากาศตรี
- พ.ศ. ๒๕๒๑ รองผู้บังคับกองพัน ทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์
- พ.ศ. ๒๕๒๓ พันโท นาวาโท และ นาวาอากาศโท และ ผู้บังคับกองพัน ทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์
- พ.ศ. ๒๕๒๔ นายทหารพิเศษประจำกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์
- พ.ศ. ๒๕๒๕ นายทหารพิเศษประจำกรมนักเรียนนายร้อย รักษาพระองค์ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า และ นายกองเอก กองอาสารักษาดินแดน สำนักอำนวยการกองอาสารักษาดินแดน
- พ.ศ. ๒๕๒๖ พันเอก นาวาเอก และ นาวาอากาศเอก
- พ.ศ. ๒๕๒๗ ผู้บังคับการ กรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์
- พ.ศ. ๒๕๓๐ พลตรี พลเรือตรี และ พลอากาศตรี
- พ.ศ. ๒๕๓๑ พลโท พลเรือโท และ พลอากาศโท และ นายทหารพิเศษประจำกรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ กรมทหารราบที่ 12 รักษาพระองค์ กรมทหาราบที่ 21 รักษาพระองค์ กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ กองพันทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์ กรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ และกองพันทหารช่างที่ 1 รักษาพระองค์
- พ.ศ. ๒๕๓๔ ผู้บํญชาการ หน่วยบัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภ รักษาพระองค์
- พ.ศ. ๒๕๓๕ พลเอก พลเรือเอก และ พลอากาศเอก ผู้บํญชาการ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัย รักษาพระองค์ สำนักผู้บัญชาการทหารสูงสุด และ นายกองใหญ่ กองอาสารักษาดินแดน สำนักอำนวยการกองอาสารักษาดินแดน
- พ.ศ. ๒๕๔๗ นายทหารพิเศษประจำกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์
- พ.ศ. ๒๕๔๘ นายทหารพิเศษประจำกรมทหารช่างที่ 1 รักษาพระองค์ กองพันทหารช่างที่ 2 รักษาพระองค์
[แก้] อภิเษกสมรส
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับ
- หม่อมหลวงโสมสวลี กิติยากร (ปัจจุบัน ทรงพระนามว่า พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ) เมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2520
- นางสาวยุวธิดา ผลประเสริฐ (หรือ หม่อมสุจาริณี มหิดล ณ อยุธยา ปัจจุบันคือ คุณสุจาริณี วิวัชรวงศ์)
- นางสาวศรีรัศมิ์ อัครพงศ์ปรีชา (หรือ หม่อมศรีรัศมิ์ มหิดล ณ อยุธยา ปัจจุบันทรงพระนามว่า พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ) เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544
[แก้] พระราชโอรส-ธิดา
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงมีพระราชธิดา ที่ประสูติแต่ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ 1 พระองค์ คือ
- พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภาประสูติเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2521 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต
ทรงมีพระราชโอรสพระราชธิดาอีก 1 พระองค์ กับ 4 องค์ ที่ประสูติแต่ คุณสุจาริณี วิวัชรวงศ์
- หม่อมเจ้าจุฑาวัชร มหิดล (ท่านอ้วน) ประสูติเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2522 (ปัจจุบัน คือ คุณจุฑาวัชร วิวัชรวงศ์) [13]
- หม่อมเจ้าวัชรเรศร มหิดล (ท่านอ้น) ประสูติเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2524 (ปัจจุบัน คือ คุณวัชร วิวัชรวงศ์ )
- หม่อมเจ้าจักรีวัชร มหิดล (ท่านอ่อง) ประสูติเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2526 (ปัจจุบัน คือ คุณจักรี วิวัชรวงศ์ )
- หม่อมเจ้าวัชรวีร์ มหิดล (ท่านอิน) ประสูติเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2528 (ปัจจุบัน คือ คุณวัชรวีร์ วิวัชรวงศ์ )
- หม่อมเจ้าหญิงบุษย์น้ำเพชร มหิดล (หรือ หม่อมเจ้าหญิงสิริวัณวรี มหิดล ปัจจุบันทรงพระนามว่า พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์) [14]
และทรงมีพระราชโอรสที่ประสูติแต่ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ 1 พระองค์ คือ
[แก้] ราชตระกูล
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร |
พระชนก: พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช |
พระอัยกาฝ่ายพระชนก: สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก |
พระปัยกาฝ่ายพระชนก: พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว |
พระปัยยิกาฝ่ายพระชนก: สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า |
|||
พระอัยยิกาฝ่ายพระชนก: สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี |
พระปัยกาฝ่ายพระชนก: พระชนกชู |
||
พระปัยยิกาฝ่ายพระชนก: พระชนนีคำ |
|||
พระชนนี: สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ |
พระอัยกาฝ่ายพระชนนี: พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้านักขัตรมงคล กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ |
พระปัยกาฝ่ายพระชนนี: พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ |
|
พระปัยยิกาฝ่ายพระชนนี: หม่อมเจ้าอัปสรสมาน เทวกุล |
|||
พระอัยยิกาฝ่ายพระชนนี: หม่อมหลวงบัว กิติยากร |
พระปัยกาฝ่ายพระชนนี: เจ้าพระยาวงษานุประพัทธ |
||
พระปัยยิกาฝ่ายพระชนนี: ท้าววนิดาพิจาริณี |
[แก้] อ้างอิง
- ^ . ประมวลพระบรมฉายาลักษณ์และพระราชประวัติ.
- ^ ลาวัณย์ โซตามระ. สี่เจ้าฟ้า. กรุงเทพมหานคร: บริษัท กัตนา ดิสทริบิวชั่น จำกัด
- ^ 3.0 3.1 3.2 3.3 พระราชประวัติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร. พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน ตอนว่าด้วยพระสูตร. กรุงเทพมหานคร: กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม
- ^ ราชกิจจานุเบกษา, พระบรมราชโองการ ประกาศ สถาปนาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฏราชกุมาร, เล่ม ๘๙, ตอน ๒๐๐ ก ฉบับพิเศษ, ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕, หน้า ๑
- ^ สกุลไทย : 16 มกราคม 2533
- ^ ราชอาณาจักรสยาม ,ราชการทหารของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้าชายมหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร,http://www.kingdom-siam.org
- ^ สกุลไทย : 7 สิงหาคม 2533
- ^ ราชอาณาจักรสยาม ,การศึกษาของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้าชายมหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร,http://www.kingdom-siam.org
- ^ ราชอาณาจักรสยาม ,พระราชภาระหน้าที่ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้าชายมหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร,http://www.kingdom-siam.org
- ^ ๕๐ พรรษา เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ ,[๕๐ พรรษา เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้าชายมหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร],๕๐ พรรษา เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ
- ^ ราชอาณาจักรสยาม ,เครื่องราชอิสริยาภรณ์ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้าชายมหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร,http://www.kingdom-siam.org
- ^ ราชอาณาจักรสยาม ,พระยศทหารของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้าชายมหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร,http://www.kingdom-siam.org
- ^ http://pumbaa.coe.psu.ac.th/webboard/reply.php?forum_id=17&topic_id=21420
- ^ เจฟฟรี่ ไฟน์สโตน. จุฬาลงกรณราชสันตติวงศ์ พระบรมราชวงศ์แห่งประเทศไทย. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ: พิษณุโลกการพิมพ์,2532. หน้า 275 - 276
[แก้] ดูเพิ่ม
สมัยก่อนหน้า | สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร | สมัยถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร | สยามมกุฎราชกุมาร (พ.ศ. 2515-ปัจจุบัน) |
' |