สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

Maha Chakri Sirindhorn.gif
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

ศาสตราจารย์ พลเอกหญิง พลเรือเอกหญิง พลอากาศเอกหญิง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นพระราชธิดา ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชสมภพ เมื่อวันเสาร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2498พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต โดยสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (พระราชอุปัชฌาย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว) เป็นผู้ถวายพระนามว่า "สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา กิติวัฒนาดุลโสภาคย์"

เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2520 ในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการสถาปนาพระอิสริยศักดิ์สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา กิติวัฒนาดุลโสภาคย์ เฉลิมพระนามตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏว่า "สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี" นับเป็นสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงพระองค์แรก ที่ทรงดำรงฐานันดรศักดิ์ที่ “สยามบรมราชกุมารี” แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์

พระองค์มีพระปรีชาสามารถในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านอักษรศาสตร์และดนตรีไทย ซึ่งพระองค์ได้นำมาใช้ในการอนุรักษ์ ส่งเสริม และให้การอุปถัมภ์ในด้านศิลปวัฒนธรรมของประเทศ จากพระราชกรณียกิจในด้านศิลปวัฒนธรรมนี้ พระองค์จึงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายพระสมัญญาว่า “เอกอัครราชูปถัมภกมรดกวัฒนธรรมไทย” และ “วิศิษฏศิลปิน” นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงประกอบพระราชกรณียกิจในด้านต่างๆ เช่น ด้านการศึกษา การพัฒนาสังคม โดยทรงมีโครงการในพระราชดำริส่วนพระองค์หลายหลากโครงการ ซึ่งโครงการในระยะเริ่มต้นนั้น มุ่งเน้นทางด้านการแก้ปัญหาการขาดสารอาหารของเด็กในทองถิ่นถุรกันดาร และพัฒนามาสู่การให้ความสำคัญทางด้านการศึกษาเพื่อการพัฒนาบุคคลอย่างสมบูรณ์

เนื้อหา

[แก้] พระราชประวัติ

[แก้] พระราชสมภพ

พลเอกหญิง พลเรือเอกหญิง พลอากาศเอกหญิง ศาสตราจารย์ ดร. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี พระราชสมภพเมื่อวันเสาร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2498 (ตรงกับวันขึ้น 10 ค่ำ เดือน 5 ปีมะแม สัปตศก) ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต เป็นสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระองค์ที่ 3 ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ โดยศาสตราจารย์ นายแพทย์หม่อมหลวงเกษตร สนิทวงศ์ เป็นผู้ถวายพระประสูติกาล และได้รับการถวายพระนามจากสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา กิติวัฒนาดุลยโสภาคย์ พร้อมทั้งประทานคำแปลว่า นางแก้ว อันหมายถึง หญิงผู้ประเสริฐ และมีพระนามที่ข้าราชบริพาร เรียกทั่วไปว่า ทูลกระหม่อมน้อย[1][2]

พระนาม "สิรินธร" นั้น นำมาจากสร้อยพระนามของสมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร ซึ่งเป็นพระราชปิตุจฉา (ป้า) ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช

สำหรับสร้อยพระนาม "กิติวัฒนาดุลย์โสภาคย์" ประกอบขึ้นจากพระนามาภิไธยของสมเด็จพระบรมราชบุพการี 3 พระองค์ ได้แก่ "กิติ" มาจากพระนามาภิไธยของ "สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ" สมเด็จพระราชชนนี (แม่) ส่วน "วัฒนา" มาจากพระนามาภิไธยของ "สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า" (สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี) สมเด็จพระปัยยิกา (ย่าทวด) และ "อดุลย์" มาจากพระนามาภิไธยของ "สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก" สมเด็จพระอัยกา (ปู่)

[แก้] การศึกษา

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานปริญญาบัตรแด่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อปี พ.ศ. 2520

เมื่อปี พ.ศ. 2501 พระองค์ทรงเริ่มเข้ารับการศึกษาระดับอนุบาลที่โรงเรียนจิตรลดา ซึ่งตั้งอยู่ภายในพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต และทรงศึกษาต่อในโรงเรียนจิตรลดาจนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย[3] โดยในปี พ.ศ. 2510 ทรงสอบไล่จบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปลายด้วยคะแนนสูงสุดของประเทศ และ ในปี พ.ศ. 2515 ก็ทรงสอบไล่จบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ในแผนกศิลปะ ด้วยคะแนนสูงสุดของประเทศเช่นเดียวกัน[4]

หลังจากนั้น พระองค์ทรงสอบเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยสามารถทำคะแนนสอบเอนทรานซ์เป็นอันดับ 4 ของประเทศ[5] ซึ่งถือเป็นสมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์แรกที่ทรงเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาในประเทศ[6] จนกระทั่ง ปี พ.ศ. 2520 พระองค์ทรงสำเร็จการศึกษาได้รับปริญญาอักษรศาสตรบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์ เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เหรียญทอง ด้วยคะแนนเฉลี่ย 3.98[4]

พระองค์ทรงเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาโท ด้านจารึกภาษาตะวันออก (ภาษาสันสกฤต และภาษาเขมร) ณ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากรและสาขาภาษาบาลีและสันสกฤต จาก ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในระหว่างนั้น มีพระราชกิจมากจนทำให้ไม่สามารถทำวิทยานิพนธ์ในระดับปริญญาโทได้พร้อมกันทั้ง 2 มหาวิทยาลัย พระองค์จึงตัดสินพระทัยเลือกทำวิทยานิพนธ์เพื่อให้สำเร็จการศึกษาที่คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากรก่อน โดยทรงทำวิทยานิพนธ์ห้วข้อเรื่อง “จารึกพบที่ปราสาทพนมรุ้ง” ทรงสำเร็จการศึกษาได้รับปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต และเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2522 หลังจากนั้น พระองค์ทรงทำวิทยานิพนธ์หัวข้อเรื่อง “ทศบารมีในพุทธศาสนาเถรวาท” ทรงสำเร็จการศึกษาได้รับปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต จากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2524[7]

พระองค์ทรงเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาเอก ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พระองค์ผ่านการสอบคัดเลือกอย่างยอดเยี่ยมด้วยคะแนนเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาผู้เข้าสอบทั้งหมด โดยทรงเป็นนิสิตปริญญาการศึกษาดุษฎีบัณฑิต สาขาพัฒนศึกษาศาสตร์ รุ่นที่ 4 พระองค์ทรงทำวิทยานิพนธ์ในหัวข้อเรื่อง “การพัฒนานวัตกรรมเสริมทักษะการเรียนการสอนภาษาไทยสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย” เนื่องจากพระองค์ทรงตระหนักว่าสภาพการเรียนการสอนภาษาไทยนั้นมีปัญหา โดยนักเรียนไม่ค่อยสนใจเรียนภาษาไทย มีความรู้ ความสามารถ ทักษะในการเข้าใจและใช้ภาษาไม่เพียงพอ พระองค์จึงทรงนำเสนอวิธีการสอนภาษาไทยในลักษณะนวัตกรรมเสริมทักษะการเรียนการสอน เพื่อส่งเสริมความสนใจในการเรียนภาษาไทยของนักเรียนและเป็นสื่อที่จะช่วยให้ครูสอนภาษาไทยได้ง่ายขึ้น พระองค์ทรงสอบผ่านวิทยานิพนธ์อย่างยอดเยี่ยม สภามหาวิทยาลัยอนุมัติให้ทรงสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาเอก เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2529[8]

[แก้] การสถาปนาพระอิสริยศักดิ์

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีในวันสถาปนาพระอิสริยศักดิ์

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มีพระราชดำริว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา กิติวัฒนาดุลยโสภาคย์ ทรงได้รับความสำเร็จในการศึกษาอย่างงดงาม และทรงได้บำเพ็ญพระองค์ให้เป็นประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองเป็นอเนกปริยาย โดยเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมเยียนราษฎรในภูมิภาคต่างๆ อยู่เสมอ ในด้านการพัฒนาบ้านเมือง เสด็จพระราชดำเนินไปทรงศึกษาและช่วยเหลือกิจการโครงการตามพระราชดำริทุกโครงการ พร้อมทรงรับพระบรมราโชบายมาทรงดำเนินการสนองพระเดชพระคุณในด้านต่างๆ นับเป็นการดูแลสอดส่องพระราชกรณียกิจส่วนหนึ่งต่างพระเนตรพระกรรณ ในด้านการพระศาสนา มีพระหฤทัยมั่นคงในพระรัตนตรัยและสนพระหฤทัยศึกษาหาความรู้ด้านพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นอย่างแตกฉาน ในส่วนราชการในพระองค์นั้น ก็ได้สนองพระเดชพระคุณในพระราชภารกิจที่ทรงมอบหมายให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ พระองค์นี้ กอปรด้วยพระจรรยามารยาท เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติแห่งขัตติยราชกุมารีทุกประการ เป็นที่รักใคร่นับถือ ยกย่องสรรเสริญพระเกียรติคุณกันอยู่โดยทั่ว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระอิสริยยศและพระอิสริยศักดิ์ให้สูงขึ้น ให้ทรงรับพระราชบัญชาและสัปตปฎลเศวตฉัตร (เศวตฉัตร 7 ชั้น) พร้อมทั้ง เฉลิมพระนามตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2520[4]

ในการสถาปนาพระอิสริยยศสำหรับพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายใน ตั้งแต่เริ่มตั้งกรุงรัตนโกสินทร์จนถึงปัจจุบัน การสถาปนาพระยศ "สมเด็จพระ" นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นการสถาปนาพระยศของสมเด็จพระบรมราชชนนี พระพันปีหลวง สมเด็จพระบรมอัยยิกาเธอ พระวิมาดาเธอ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ ในรัชกาลต่างๆ แต่การสถาปนาในครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่มีการสถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้า ขึ้นเป็น "สมเด็จพระ" จึงเป็นพระเกียรติยศที่สูงยิ่ง[9]

[แก้] พระอัจฉริยภาพ

[แก้] ด้านภาษา

พระองค์ทรงมีความรู้ทางด้านภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต และภาษาเขมร ทรงสามารถรับสั่งเป็นภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส และภาษาจีน และทรงกำลังศึกษา ภาษาเยอรมัน และภาษาลาตินอีกด้วย[5] ขณะที่ทรงพระเยาว์นั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงสอนภาษาไทยแก่พระราชโอรสและพระราชธิดา โดยทรงอ่านวรรณคดีเรื่องต่างๆ พระราชทาน และทรงให้พระองค์ทรงคัดบทกลอนต่างๆ หลายตอน ทำให้พระองค์โปรดวิชาภาษาไทยตั้งแต่นั้นมา นอกจากนี้ ยังทรงสนพระทัยในภาษาอังกฤษและภาษาบาลีด้วย

เมื่อพระองค์ทรงเข้าเรียนที่โรงเรียนจิตรลดานั้น ทรงได้รับการถ่ายทอดความรู้ทางด้านภาษาทั้งภาษาไทย ภาษาบาลี ภาษาเขมร ภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศส โดยภาษาไทยนั้น พระองค์ทรงเชี่ยวชาญทั้งด้านหลักภาษา วรรณคดี และศิลปะไทย เมื่อทรงจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น พระองค์พอรู้แน่ว่าอย่างไรก็คงไม่ได้เรียนแผนกวิทยาศาสตร์ จึงพยายามหัดเรียนภาษาบาลี อ่านเขียนอักษรขอม เนื่องจากในสมัยนั้น ผู้ที่จะเรียนภาษาไทยให้กว้างขวาง ลึกซึ้ง จะต้องเรียนทั้งภาษาบาลี สันสกฤต และเขมร[10] ซึ่งภาษาบาลีนั้น เป็นภาษาที่พระองค์สนพระทัยตั้งแต่ทรงพระเยาว์ แต่ได้เริ่มเรียนอย่างจริงจังในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จนสามารถจำการแจกวิภัตติเบื้องต้นที่สำคัญได้ และเข้าพระทัยโครงสร้างและลักษณะทั่วไปของภาษาบาลีได้ นอกจากนี้ ยังทรงเลือกเรียนภาษาฝรั่งเศสแทนการเรียนเปียโน เนื่องจากมีพระราชประสงค์ที่จะอ่านหนังสือภาษาฝรั่งเศสที่มีอยู่ในตู้หนังสือมากกว่าการซ้อมเปียโน[11]

เมื่อทรงเข้าศึกษา ณ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนั้น พระองค์ทรงเลือกเรียนสาขาประวัติศาสตร์เป็นวิชาเอก และวิชาภาษาไทย ภาษาบาลี และภาษาสันสกฤตเป็นวิชาโท ทำให้ทรงศึกษาวิชาภาษาไทยในระดับชั้นสูงและละเอียดลึกซึ้งยิ่งขึ้นทั้งด้านภาษาและวรรณคดี ส่วนภาษาบาลีและสันสกฤตนั้น ทรงศึกษาทั้งวิธีการแบบดั้งเดิมของไทย คือ แบบที่เรียนกันในพระอารามต่างๆ และแบบภาษาศาสตร์ซึ่งเป็นวิธีการตะวันตก ตั้งแต่ไวยากรณ์ขั้นพื้นฐานไปจนถึงขั้นสูง และเรียนตามวิธีการอินเดียโบราณเป็นพิเศษในระดับปริญญาโท ซึ่งรัฐบาลอินเดียได้ส่งศาสตราจารย์ ดร. สัตยพรต ศาสตรี มาถวายพระอักษรภาษาสันสกฤต โดยวิทยานิพนธ์ในระดับปริญญาโทของพระองค์ เรื่อง ทศบารมีในพุทธศาสนาเถรวาท นั้น ยังได้รับการยกย่องจากมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยว่า เป็นวิทยานิพนธ์ที่แสดงถึงพระปรีชาสามารถ ในภาษาบาลีพุทธวจนะเป็นพิเศษ[12]

พระปรีชาสามารถทางด้านภาษาของพระองค์นั้นเป็นที่ประจักษ์ จึงได้รับการทูลเกล้าถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางด้านภาษาจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ เช่น มหาวิทยาลัยรามคำแหง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยมาลายา ประเทศมาเลเซีย มหาวิทยาลัยบักกิ้งแฮม สหราชอาณาจักร เป็นต้น[13]

[แก้] ด้านดนตรี

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงดนตรี

พระองค์ทรงเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรีไทยผู้หนึ่ง โดยทรงเครื่องดนตรีไทยได้ทุกชนิด แต่ที่โปรดทรงอยู่ประจำ คือ ระนาด ซอ และฆ้องวง โดยเฉพาะระนาดเอก[14] พระองค์ทรงเริ่มหัดดนตรีไทย ในขณะที่ทรงศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนจิตรลดา โดยทรงเลือกหัดซอด้วงเป็นเครื่องดนตรีชิ้นแรก[15] และได้ทรงดนตรีไทยในงานปิดภาคเรียนของโรงเรียน รวมทั้ง งานวันคืนสู่เหย้าร่วมกับวงดนตรีจิตรลดาของโรงเรียนจิตรลดาด้วย หลังจากที่ทรงเข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษา ณ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พระองค์ทรงเข้าร่วมชมรมดนตรีไทยของสโมรสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและคณะอักษรศาสตร์ โดยทรงเล่นซอด้วงเป็นหลัก[15] และทรงเริ่มหัดเล่นเครื่องดนตรีไทยชิ้นอื่นๆ ด้วย

ในขณะที่ทรงพระเยาว์ เครื่องดนตรีที่ทรงสนพระทัยนั้น ได้แก่ ระนาดเอกและซอสามสาย[16] ซึ่งพระองค์ทรงเริ่มเรียนระนาดเอกอย่างจริงจังเมื่อปี พ.ศ. 2528 หลังจากการเสด็จทรงดนตรีไทย ณ บ้านปลายเนิน ซึ่งเป็นวังของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจิตรเจริญ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ โดยมีครูสิริชัยชาญ พักจำรูญ เป็นพระอาจารย์[17] พระองค์ทรงเริ่มเรียนตั้งแต่การจับไม้ระนาด การตีระนาดแบบต่างๆ และท่าที่ประทับขณะทรงระนาด และทรงเริ่มเรียนการตีระนาดตามแบบแผนโบราณ กล่าวคือ เริ่มต้นด้วยเพลงต้นเพลงฉิ่งสามชั้น แล้วจึงทรงต่อเพลงอื่นๆ ตามมา ทรงทำการบ้านด้วยการไล่ระนาดทุกเช้า หลังจากบรรทมตื่นภายในห้องพระบรรทม จนกระทั่ง พ.ศ. 2529 พระองค์จึงทรงบรรเลงระนาดเอกร่วมกับครูอาวุโสของวงการดนตรีไทยหลายท่านต่อหน้าสาธารณชนเป็นครั้งแรก ในงานดนตรีไทยอุดมศึกษา ครั้งที่ 17 ณ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยเพลงที่ทรงบรรเลง คือ เพลงนกขมิ้น (เถา)

นอกจากดนตรีไทยแล้ว พระองค์ยังทรงดนตรีสากลด้วย โดยทรงเริ่มเรียนเปียโนตั้งแต่พระชนมายุ 10 พรรษา แต่ได้ทรงเลิกเรียนหลังจากนั้น 2 ปี และทรงฝึกเครื่องดนตรีสากล ประเภทเครื่องเป่า จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จนสามารถทรงทรัมเปตนำวงดุริยางค์ในงานคอนเสิร์ตสายใจไทย และทรงระนาดฝรั่งนำวงดุริยางค์ในงานกาชาดคอนเสิร์ต[15]

[แก้] ด้านพระราชนิพนธ์

พระองค์โปรดการอ่านหนังสือและการเขียนมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ รวมกับพระปรีชาสามารถทางด้านภาษาทั้งภาษาไทยและต่างประเทศ ร้อยแก้วและร้อยกรอง ดังนั้น จึงทรงพระราชนิพนธ์หนังสือประเภทต่างๆ ออกมามากกว่า 100 เล่ม[18] ซึ่งมีหลายหลากประเภททั้งสารคดีท่องเที่ยวเมื่อเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศ เช่น เกล็ดหิมะในสายหมอก ทัศนะจากอินเดีย มนต์รักทะเลใต้ ประเภทวิชาการและประวัติศาสตร์ เช่น บันทึกเรื่องการปกครองของไทยสมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์ กษัตริยานุสรณ์ หนังสือสำหรับเยาวชน เช่น แก้วจอมแก่น แก้วจอมซน หนังสือที่เกี่ยวข้องกับพระบรมวงศานุวงศ์ไทย เช่น สมเด็จแม่กับการศึกษา สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีกับพระราชกรณียกิจพระราชจริยาวัตรด้านการศึกษา ประเภทพระราชนิพนธ์แปล เช่น หยกใสร่ายคำ ความคิดคำนึง เก็จแก้วประกายกวี และหนังสือทั่วไป เช่น นิทานเรื่องเกาะ (เรื่องนี้ไม่มีคติ) เรื่องของคนแขนหัก เป็นต้น และมีลักษณะการเขียนที่คล้ายคลึงกับพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กล่าวคือ ในพระราชนิพนธ์เรื่องต่างๆ นอกจากจะแสดงพระอารมณ์ขันแล้ว ยังทรงแสดงการวิพากษ์ วิจารณ์ในแง่ต่างๆ เป็นการแสดงพระมติส่วนพระองค์[19]

นอกจากพระนาม "สิรินธร" แล้ว พระองค์ยังทรงใช้นามปากกาในการพระราชนิพนธ์หนังสืออีก 4 พระนาม ได้แก่[20][21]

"ก้อนหินก้อนกรวด" เป็นพระนามแฝงที่ทรงหมายถึง พระองค์และพระสหาย สามารถแยกได้เป็น ก้อนหิน หมายถึง พระองค์เอง ส่วนก้อนกรวด หมายถึง กุณฑิกา ไกรฤกษ์ พระองค์มีรับสั่งถึงพระนามแฝงนี้ว่า “เราตัวโตเลยใช้ว่า ก้อนหิน หวานตัวเล็ก เลยใช้ว่า ก้อนกรวด รวมกันจึงเป็น ก้อนหิน-ก้อนกรวด” นามปากกานี้ ทรงใช้ครั้งเดียวตอนประพันธ์บทความ "เรื่องจากเมืองอิสราเอล" เมื่อปี พ.ศ. 2520

"แว่นแก้ว" เป็นชื่อที่พระองค์ทรงตั้งขึ้นเอง ซึ่งพระองค์มีรับสั่งถึงพระนามแฝงนี้ว่า "ชื่อแว่นแก้ว นี้ตั้งเอง เพราะตอนเด็กๆ ชื่อลูกแก้ว ตัวเองอยากชื่อแก้ว ทำไมถึงเปลี่ยนไปไม่รู้เหมือนกัน แล้วก็ชอบเพลงน้อยใจยา นางเอกชื่อ แว่นแก้ว" พระนามแฝง แว่นแก้วนี้ พระองค์เริ่มใช้เมื่อปี พ.ศ. 2521 เมื่อทรงพระราชนิพนธ์และทรงแปลเรื่องสำหรับเด็ก ได้แก่ แก้วจอมซน แก้วจอมแก่น และขบวนการนกกางเขน

"หนูน้อย" พระองค์มีรับสั่งถึงพระนามแฝงนี้ว่า "เรามีชื่อเล่นที่เรียกกันในครอบครัวว่า น้อย เลยใช้นามแฝงว่า หนูน้อย" โดยพระองค์ทรงใช้เพียงครั้งเดียวในบทความเรื่อง “ป๋องที่รัก” ตีพิมพ์ในหนังสือ 25 ปีจิตรลดา เมื่อปี พ.ศ. 2523

และ "บันดาล" พระองค์มีรับสั่งถึงพระนามแฝงนี้ว่า "ใช้ว่า บันดาลเพราะคำนี้ผุดขึ้นมาในสมอง เลยใช้เป็นนามแฝง ไม่มีเหตุผลอะไรในการใช้ชื่อนี้เลย" ซึ่งพระองค์ทรงใช้ในงานแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยที่ทรงทำให้สำนักเลขาธิการคณะกรรมการแห่งชาติ ว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ กระทรวงศึกษาธิการ เมื่อปี พ.ศ. 2526

นอกจากนี้ ยังทรงพระราชนิพนธ์เพลงแป็นจำนวนมาก โดยบทเพลงที่ดังและนำมาขับร้องบ่อยครั้ง ได้แก่ เพลง ส้มตำ รวมทั้ง ยังทรงประพันธ์คำร้องในบทเพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้แก่ เพลง รัก และ เพลง เมนูไข่

[แก้] พระราชกรณียกิจ

[แก้] ด้านการศึกษา

พระองค์ทรงนำนักเรียนนายร้อย จปร. ไปทัศนศึกษาโบราณสถานต่างๆ

เมื่อพระองค์ทรงสำเร็จการศึกษาในระดับอุดมศึกษาแล้ว ทรงเข้ารับราชการเป็นพระอาจารย์ประจำกองวิชากฎหมายและสังคมศาสตร์ ส่วนการศึกษา โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของพลตรียุทธศักดิ์ คล่องตรวจโรค ผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าในขณะนั้น[22] ทรงสอนวิชาประวัติศาสตร์ไทยและสังคมวิทยา พระองค์จึงทรงเป็น "ทูลกระหม่อมอาจารย์" สำหรับนักเรียนนายร้อยตั้งแต่นั้น ต่อมา เมื่อมีการตั้งกองวิชาประวัติศาสตร์ขึ้นในปี พ.ศ. 2530 พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการกองวิชาประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบัน[23] และทรงได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นศาสตราจารย์ ส่วนการศึกษา ประจำโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2529[24] และเป็นศาสตราจารย์ ส่วนการศึกษา ประจำโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (อัตราจอมพล) เมื่อปี พ.ศ. 2543[25] นอกจากนี้ พระองค์ยังได้ทรงรับเชิญเป็นพระอาจารย์สอนในสถาบันอุดมศึกษาต่างๆ เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยเฉพาะที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒนั้น พระองค์ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นศาสตราจารย์พิเศษ สาขาพัฒนาศึกษาศาสตร์ด้วย[26]

ในปี พ.ศ. 2525 ทรงพระราชดำริให้ก่อตั้งโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ ขึ้นในพระบรมมหาราชวัง เพื่อเปิดโอกาสทางการศึกษาให้กับบุตรหลานข้าราชบริพารและประชาชนทั่วไป เปิดทำการสอนครั้งแรกในปีการศึกษา 2525 โดยทรงดำรงตำแหน่งเป็นองค์ประธานกรรมการคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ และทรงเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานทุกครั้ง รวมถึงเสด็จพระราชดำเนินไปในงานปิดภาคเรียนของโรงเรียนทุกครั้ง เพื่อพระราชทานทุนพระราชทานส่งเสริมการเรียนดี และพระราชทานประกาศนียบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐานจากสถานศึกษาต่างๆ คือ โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ วิทยาลัยในวังชาย วิทยาลัยในวังหญิง โรงเรียนผู้ใหญ่พระดาบส ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนกาญจนาภิเษก (วิทยาลัยในวัง) กาญจนาภิเษกวิทยาลัย (ช่างทองหลวง)

พ.ศ. 2535 ทรงพระราชดำริพระราชทานความช่วยเหลือกัมพูชาในการก่อตั้งวิทยาลัยกำปงเฌอเตียลจังหวัดกำปงธม ประเทศกัมพูชา โดยพระราชทานเงินค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างอาคารสถานที่ต่างๆ เสด็จฯ ไปทรงเปิดวิทยาลัยเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548 และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานทุนแก่นักเรียนเพื่อให้มาศึกษาต่อในประเทศไทยในหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิตและหลักสูตรอาชีวศึกษา เพื่อนำความรู้กลับไปสอนและพัฒนาการจัดการศึกษาของวิทยาลัย รวมทั้งทรงสนับสนุนการศึกษาด้านนาฏศิลป์และดนตรี[27]

ในปี พ.ศ. 2549 พระองค์ทรงมีแนวความคิดจัดตั้งโครงการพัฒนานักอักษรศาสตร์รุ่นใหม่ขึ้น โดยความร่วมมือของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาและคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อสร้างนักอักษรศาสตร์ที่มีมุมมองและแนวคิดใหม่เพื่อเป็นกำลังของชาติ

ทรงมีพระวิสัยทัศน์ก้าวไกล ทรงสนับสนุนการช่วยเหลือ โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ให้เป็นโรงเรียนผลิตนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ สร้าง"องค์ความรู้"ให้แก่ประเทศไทย

[แก้] ด้านการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทย

พระองค์ทรงสนพระทัยด้านศิลปวัฒนธรรมมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ โดยเฉพาะทางด้านดนตรีไทย ซึ่งพระองค์ทรงสนับสนุนในการอนุรักษ์ สืบทอด เผยแพร่ความรู้ด้านดนตรีไทยอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด โดยทรงเป็นแบบอย่างในการเสด็จทรงเครื่องดนตรีไทยร่วมกับประชาชนทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังทรงอนุรักษ์ดนตรีไทยโดยการชำระโน้ตเพลง บันทึกเพลงเก่า และเผยแพร่งานเหล่านั้นอย่างต่อเนื่อง และส่งเสริมให้สถาบันการศึกษาต่างๆ จัดการเผยแพร่งานทางด้านดนตรีไทย ซึ่งจากงานทางด้านการอนุรักษณ์ดนตรีไทย ครูเสรี หวังในธรรม ได้กล่าวไว้ว่า “ดนตรีไทยไม่สิ้นแล้ว เพราะพระทูลกระหม่อมแก้วเอาใจใส่”[28]

นอกจากด้านดนตรีไทยแล้ว พระองค์ยังประกอบพระราชกรณียกิจมากมายเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาศิลปวัฒนธรรมไทยทั้งในด้าน การช่างไทย นาฎศิลป์ไทย งานพิพิธภัณฑ์ ประวัติศาสตร์และโบราณสถาน ภาษาและวรรณกรรมไทย[29] พระองค์ได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายพระสมัญญาว่า “ เอกอัครราชูปถัมภกมรดกวัฒนธรรมไทย ” เมื่อ พ.ศ. 2531 และ “วิศิษฏศิลปิน” เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2546 เพื่อเทิดพระเกียรติที่พระองค์ทรงพระปรีชาสามารถในศิลปะหลายสาขา รวมทั้ง ทรงมีคุณูปการต่อเหล่าศิลปินและศิลปวัฒนธรรมของชาติ[30] นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีซึ่งมี ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้มีมติให้วันที่ 2 เมษายน ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระองค์เป็น "วันอนุรักษ์มรดกของชาติ" เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติที่พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในด้านการอนุรักษ์มรดกของชาติในสาขาต่างๆ เป็นจำนวนมาก[31]

[แก้] ด้านการพัฒนาสังคม

พระองค์ทรงสนพระทัยงานด้านการพัฒนา ซึ่งถือเป็นงานหลักที่พระองค์ทรงงานควบคู่กับงานวิชาการ พระองค์ทรงเรียนรู้งานทางด้านพัฒนาจากการตามเสด็จพระราชดำเนินพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถไปทรงเยี่ยมประชาชนในถิ่นทุรกันดารต่างๆ ทั่วประเทศ[32] จากการที่พระองค์ทรงได้เสด็จฯ ไปตามสถานที่ต่างๆ มากมาย พระองค์ทรงนำความรู้ที่ได้จากการลงพื้นที่จริงมาใช้ในงานด้านการพัฒนาสังคม นำไปสู่โครงการตามพระราชดำริส่วนพระองค์มากมาย โดยโครงการตามพระราชดำริในระยะเริ่มแรกนั้น พระองค์ทรงงานเกี่ยวกับเด็กนักเรียนในพื้นที่ทุรกันดารที่มีปัญหาขาดสารอาหาร ดังนั้น จึงทรงพระราชดำริส่งเสริมให้นักเรียนปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ แล้วนำมาประกอบเป็นอาหารกลางวันรับประทาน[33] โครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวันนี้ เริ่มต้นขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2523 โดยเริ่มที่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนในจังหวัดราชบุรี กาญจนบุรี และประจวบคีรีขันธ์ และได้ขยายออกไปยัง 44 จังหวัดในพื้นที่ทุรกันดาร[34] โครงการในพระราชดำริในระยะต่อมา พระองค์ทรงมุ่งเน้นทางด้านการศึกษามากขึ้น เนื่องจากพระองค์ทรงพระราชดำริว่า การศึกษาเป็นปัจจัยหลักในการสร้างและพัฒนาความรู้ ความคิด ตลอดจนความประพฤติและคุณงามความดีของบุคคล โดยพระองค์ทรงตั้งพระทัยให้ประชาชนทุกระดับชั้นสามารถได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ประชาชนควรได้รับจากรัฐ[33]

[แก้] ด้านการพัฒนาห้องสมุดและการรู้หนังสือ

สมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดาสยามบรมราชกุมารี ทรงสนพระทัยการอ่านและการพัฒนาห้องสมุด ทรงรับสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทย ฯไว้ในพระราชูปถัมภ์ [35] เมื่อวันที่2 กันยายน พ.ศ. 2519 [36] หลายโอกาสที่เสด็จพระราชดำเนินต่างประเทศ ได้เสด็จเยี่ยมและทรงดูงานห้องสมุดชั้นนำหลายแห่ง ซึ่งได้พระราชทานข้อแนะนำแก่สมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยฯ[37] และบรรณารักษ์ไทยในการนำความรู้ไปพัฒนาห้องสมุดโรงเรียนและห้องสมุดประชาชนรวมทั้งห้องสมุดประชาชนเฉลิมราชกุมารี[38]ที่เป็นแหล่งเรียนรู้เพื่อขยายโอกาสให้ประชนในการพัฒนาการรู้หนังสือ นอกจากนี้ยังทรงพระกรุณาเสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานในการประชุมสามัญประจำปีของสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยฯเสมอมา รวมทั้งได้เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นประธานในโอกาสที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพการประชุมสมาพันธ์สมาคมห้องสมุดฯนานาชาติ (IFLA) และทรงมีพระราชดำรัสเปิดการประชุม IFLA ครั้งที่ 65 ที่กรุงเทพมหานครในปี 1999 [39]

[แก้] ด้านการต่างประเทศ

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นประธานในพิธีเปิดศาลาไทย ที่มหาวิทยาลัยโฮโนลูลู มาโนอา ฮาวาย

พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศเป็นครั้งแรกเมื่อคราวที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จ ฯ เยือนสหรัฐอเมริกาและประเทศในยุโรปอย่างเป็นทางการ ระหว่าง ปี พ.ศ. 2503-พ.ศ. 2504 ในขณะที่มีพระชนมายุ 5 พรรษา หลังจากนั้น พระองค์ก็เสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศเป็นจำนวนหลายครั้ง โดยการเสด็จฯ นั้น พระองค์ทรงเสด็จฯ ทั้งในฐานะผู้แทนพระองค์ พระราชอาคันตุกะหรืออาคันตุกะของรัฐบาลประเทศต่างๆ อย่างเป็นทางการ รวมทั้ง เสด็จฯ เป็นการส่วนพระองค์ ซึ่งนอกจากจะทรงงานเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศแล้ว พระองค์ยังทรงเสด็จฯ ทอดพระเนตรสังคม วัฒนธรรม สถานที่ต่างๆ และทรงได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ ของประเทศนั้นๆ และได้ทรงนำความรู้และประสบการณ์ที่ทรงได้ทอดพระเนตรและจดบันทึกมาประยุกต์ใช้กับการทรงงานภายในประเทศด้วย ซึ่งการเสด็จฯ ทรงงานในต่างประเทศของพระองค์ทำให้หนังสือพิมพ์ฝรั่งเศสว่าถวายพระราชสมัญญานามแด่พระองค์ว่า “เจ้าฟ้านักดูงาน” หรือ “Le Princesse Stagiaire”[40] รวมทั้ง พระองค์ยังได้รับการยกย่องจากสมาคมมิตรภาพวิเทศสัมพันธ์แห่งประชาชนจีนว่าทรงเป็น "ทูตสันถวไมตรี"” ระหว่างประเทศไทยและประเทศจีน เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2547[41]

นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงร่วมมือกับนานาประเทศเพื่อก่อเกิดความร่วมมือในด้านการพัฒนาสังคม อาทิเช่น ความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและประเทศลาว ซึ่งพระองค์ได้ทรงมีโครงการตามพระราชดำริทั้งในด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต การให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์และการสาธารณสุข การพัฒนาทางด้านการศึกษา เป็นต้น นอกจากประเทศลาวแล้ว โครงการเพื่อการพัฒนาของพระองค์ยังได้ขยายออกไปยังประเทศกัมพูชา ประเทศพม่า และประเทศเวียดนามด้วย[34] นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงร่วมมือกับองค์การระหว่างประเทศ ได้แก่ ความร่วมมือกับองค์การสหประชาชาติ พระองค์ทรงให้ความร่วมมือในโครงการอาหารในโรงเรียน ซึ่งเป็นโครงการของโครงการอาหารโลกแห่งองค์การสหประชาชาติ โดยได้แต่งตั้งให้พระองค์เป็นทูตพิเศษของโครงการด้วย, โครงการการศึกษาเพื่อทุกคน เป็นโครงการด้านการส่งเสริมศักยภาพของเด็กชนกลุ่มน้อย ด้วยการศึกษาและอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม ซึ่งเป็นโครงการขององค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม รวมทั้ง โครงการการศึกษาหลังประถมศึกษาสำหรับผู้ลี้ภัยและผู้พลัดถิ่น โดยมูลนิธิการศึกษาเพื่อผู้ลี้ภัย สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ[33]

[แก้] ด้านการสาธารณสุข

จากการที่พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังถิ่นทุรกันดาร ทำให้พระองค์ทอดพระเนตรเห็นถึงปัญหาทางด้านสุขภาพอนามัยของราษฎรในชนบท พระองค์จึงมีพระราชดำริจัดทำโครงการต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาสุขภาพอนามัยของราษฎร โครงการแรกที่พระองค์ทรงเริ่ม ได้แก่ โครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนอาหารกลางวันของเด็กนักเรียน ซึ่งโครงการนี้นอกจากจะแก้ปัญหาการขาดแคลนอาหารกลางวันแล้วยังช่วยให้นักเรียนมีความรู้ทางด้านโภชนาการและการเกษตรด้วย[42] และปัญหาที่สำคัญอีกประการหนึ่ง นั่นคือ การระบาดของโรคคอพอกเนื่องจากการขาดสารไอโอดีน พระองค์ทรงแก้ไขปัญหานี้โดยทรงริเริ่ม โครงการควบคุมโรคขาดสารไอโอดีน ด้วยการรณรงค์ให้มีการใช้เกลือไอโอดีนหรือหยดไอโอดีนในการประกอบอาหาร และอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการขาดไอโอดีน ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการที่เสริมการทำงานของกระทรวงสาธารณสุข[43] นอกจากนี้ พระองค์ยังให้ความสำคัญต่อสุขภาพอนามัยของแม่และเด็กในถิ่นทุรกันดารด้วย โดยพระองค์ทรงตระหนักว่าคนเราจะภาวะโภชนาการและสุขภาพอนามัยที่ดีนั้น ต้องเริ่มตั้งแต่ในครรภ์มารดา พระองค์จึงเริ่ม โครงการส่งเสริมโภชนาการและสุขภาพอนามัยแม่และเด็กในถิ่นทุรกันดาร เพื่อให้แม่และเด็กได้รับบริการทางด้านอนามัยอย่างเหมาะสม รวมทั้งได้รับโภชนาการที่ถูกต้องและเหมาะสมในแต่ละพื้นที่[44]

นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงจัดตั้งหน่วยแพทย์พระราชทานและหน่วยทันตกรรมพระราชทานเพื่ออกตรวจรักษาราษฎรในถิ่นทุรกันดารที่พระองค์เสด็จฯ เยี่ยมในแต่ละครั้ง รวมทั้งทรงรับผู้ป่วยที่ยากจนเป็นคนไข้ในพระราชานุเคราะห์ด้วย[45][46]

[แก้] ด้านศาสนา

เนื่องจากพระองค์ทรงได้รับการอบรมให้มีความใกล้ชิดกับพระพุทธศาสนาจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทำให้พระองค์ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ โดยพระองค์มักมักจะได้รับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้เสด็จฯ เป็นผู้แทนพระองค์ เพื่อเป็นองค์ประธานในพิธีที่เกี่ยวข้องกับศาสนา เช่น พิธีเวียนเทียนที่พุทธมณฑล เนื่องในวันวิสาขบูชา วันมาฆบูชา เป็นต้น

พระองค์ทรงริเริ่มให้มีการฟื้นฟูประเพณีฉลองวันวิสาขบูชา ซึ่งเป็นประเพณีที่เคยมีขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โดยได้ทรงประกาศเชิญชวนให้พุทธศาสนิกชนร่วมกันจุดโคมประทีป และส่งบัตรอวยพรที่มีข้อธรรมะ เพื่อเป็นการพุทธศาสนิกชนทั่วไปได้ทราบถึงประวัติและความสำคัญของวันวิสาขบูชา รวมทั้ง ยังเป็นเครื่องเตือนใจให้ระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า[47] โดยพระองค์ยังได้พระราชทานโคลงข้อธรรมะเพื่อให้กระทรวงวัฒนธรรมพิมพ์แจกแก่พุทธศาสนิกชนในบัตรอวยพรวันวิสาขบูชาด้วย[48][49] และพระองค์ยังทรงพระราชดำริให้ธรรมสถานแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจัดงานเทศน์มหาชาติร่ายยาวขึ้น ซึ่งเป็นการเทศน์มหาชาติตามรูปแบบที่ถูกต้องตามตำรับหลวง เพื่อชี้นำให้คนไทยได้เข้าใจในคุณค่าของเรื่องมหาชาติ และประเพณีการเทศน์มหาชาติที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล[47] พระราชกรณียกิจที่สำคัญประการหนึ่ง คือ พระองค์ยังทรงเป็นแม่กองในการซ่อมแซมวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เพื่อให้สำเร็จทันงานพระราชพิธีสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 200 ปี ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2525 ซึ่งงานบูรณปฏิสังขรณ์ในครั้งนี้ประสบปัญหาล่าช้า เนื่องจากงบประมาณน้อย รวมทั้ง ขาดแคลนช่างในสาขาต่างๆ เป็นต้น งานในครั้งนี้พระองค์ทรงดูแลอย่างใกล้ชิด และคลี่คลายปัญหาต่างๆ ด้วยพระราชหฤทัยที่เด็ดขาด รวมทั้ง แก้ได้รับเงินบริจาคจากพระบรมวงศานุวงศ์และประชาชนร่วมสมทบทุนจึงทำให้งานบูรณะในครั้งนี้จึงเสร็จทันกาล[50] นอกจากนี้ พระองค์ทรงบูรณะวัดท่าสุทธาวาส จังหวัดอ่างทอง และทรงสร้างพระอุโบสถขึ้นใหม่เพื่อเป็นพระราชกุศลในโอกาสเจริญพระชนมายุครบ 3 รอบ[51] และทรงรับวัดนี้ไว้ในพระราชอุปถัมภ์ด้วย[52]

นอกจากพระพุทธศาสนาแล้ว พระองค์ยังทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนาอื่นๆ โดยมิได้ทรงละเลย ซึ่งเมื่อพระองค์ได้รับคำกราบบังคมทูลเชิญเสด็จฯ ไปประกอบพิธีกรรมของศาสนาต่างๆ นั้น พระองค์ก็จะเสด็จฯ ตามคำกราบบังคมทูลเสมอ

[แก้] ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติ ครบ ๖๐ ปี

พระองค์มีพระราชดำริให้นำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการพัฒนาพัฒนาประเทศหลายประการ ทรงเป็นองค์ประธานกรรมการของโครงการเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ เป็นเลขานุการ[53] โดยมีพระราชดำริให้โครงการต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นโครงการนำร่องและใช้เป็นตัวอย่างในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ และมีพระราชประสงค์จะให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องกับโครงการนั้นๆ มารับช่วงต่อไป[54] พระองค์ทรงเริ่มนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้กับการพัฒนาการศึกษาของโรงเรียนในชนบท ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2538 ใน โครงการเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับโรงเรียนในชนบท โดยพระราชทานเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปรณ์ที่จำเป็นเพื่อจัดตั้งเป็นห้องเรียนขึ้น และพัฒนามาจนสามารถนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาประกอบการเรียนการสอนในรายวิชาต่างๆ ปัจจุบัน มีโรงเรียนในโครงการประมาณ 85 แห่ง โดยมีโรงเรียนในจังหวัดนครนายกเป็นศูนย์กลางการพัฒนาเพื่อนำแนวทางใหม่ๆ ไปทดลองใช้กับโรงเรียนในชนบท[55] และทรงริเริ่ม โครงการเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อคนพิการ เพื่อให้คนพิการสามารถใช้คอมพิวเตอร์เพื่อสร้างความรู้ ความบันเทิง พัฒนาทักษะ และสร้างอาชีพต่อไปในอนาคต พระองค์ทรงมีคณะทำงานที่จะศึกษาวิจัยเพื่อหาอุปกรณ์ทางเทคโนโลยีและวิธีการช่วยเหลือผู้พิการในแต่ละด้านอย่างเหมาะสม ซึ่งโครงการนี้มีโรงเรียนศรีสังวาลย์เป็นหน่วยงานหลัก[56] นอกจากนี้ โครงการเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำรินี้ ยังเพิ่มโอกาสให้ผู้ต้องขังในทัณฑสถานได้รับการอบรมและฝึกทักษะในการใช้คอมพิวเตอร์ระหว่างการถูกคุมขัง เพื่อสามารถนำความรู้ที่ได้รับนำไปพัฒนาตนเองและนำไปประกอบอาชีพได้ และมีโครงการสำหรับเด็กป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาภายในโรงพยาบาลเป็นระยะเวลานาน ซึ่งอาจจะทำให้ขาดโอกาสทางด้านการศึกษา โดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นสื่อในการเรียนรู้ สร้างความเพลิดเพลิน รวมทั้ง ส่งเสริมพัฒนาการแก่เด็กที่ป่วยด้วย[57] นอกจากนี้ พระองค์ยังนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้กับงานทางด้านการเผยแพร่วัฒนธรรมของไทย 76 จังหวัด ผ่านทางอินเตอร์เนท โดยมีกระทรวงวัฒนธรรมเป็นผู้ดูแลโครงการนี้[58]

จากพระราชกรณียกิจทางด้านการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการพัฒนาประเทสในด้านต่างๆ ทำให้วารสารอินโฟแชร์ ซึ่งเป็นวาสารของสำนักงานด้านเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสารของยูเนสโก ได้ตีพิมพ์บทความเฉลิมพระเกียรติการอุทิศพระองค์เพื่อการศึกษาเรียนรู้ด้านสารสนเทศของเด็กและผู้ด้อยโอกาสของไทย รวมทั้ง ยังได้ถวายนาม “IT Princess” หรือ “เจ้าหญิง ไอที” แก่พระองค์อีกด้วย[59][60]

[แก้] พระเกียรติยศ

พระราชวงศ์ไทย
Emblem of the House of Chakri.svg

[แก้] พระอิสริยยศ

  • สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา กิติวัฒนาดุลยโสภาคย์ (2 เมษายน พ.ศ. 2498 - 5 ธันวาคม พ.ศ. 2520)
  • สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี (5 ธันวาคม พ.ศ. 2520 - ปัจจุบัน)

[แก้] เครื่องราชอิสริยยศ

เมื่อพระองค์ทรงได้รับการสถาปนาพระอิสริยยศขึ้นเป็น "สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี" ในการพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2520 นั้น พระองค์ทรงได้รับพระราชทานเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ[61] ดังนี้

  • พระสุพรรณบัฏ จารึกพระปรมาภิไธย บรรจุในหีบทองคำลงยา ภปร ประดับเพชร
  • เครื่องราชูปโภค
    • พานพระศรี (พานใส่หมากพลู) ทองคำลงยาเครื่องพร้อม
    • หีบพระศรีทองคำลงยาประดับเพชร พร้อมพานทองรองเครื่องพร้อม
    • พระสุพรรณศรี (กระโถนเล็ก) ทองคำลงยา
    • กาทองคำทรงกระบอกมีถาดรอง
    • ขันน้ำเสวยทองคำลงยา พร้อมจอกทองคำลงยา
    • ขันสรงพระพักตร์ทองคำลงยา พร้อมพานรอง
    • ที่ชาทองคำพร้อมถ้วยฝาหยก

[แก้] เครื่องราชอิสริยาภรณ์

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์จากต่างประเทศ ดังต่อไปนี้[62][63]

[แก้] เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย

[แก้] เครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ

[แก้] พระยศทางทหาร

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมาร ในฉลองพระองค์เต็มยศกรมนักเรียนร้อยรักษาพระองค์ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระยศทางทหารแก่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ตามลำดับ[69] ดังนี้

[แก้] รางวัลที่ทรงได้รับ

[แก้] ตำแหน่งที่ทรงได้รับ

[แก้] พรรณไม้ พันธุ์สัตว์ และสถานที่อันเนื่องด้วยพระนามาภิไธย

พระสัญลักษณ์ประจำพระองค์  : พระนามาภิไธยย่อ สธ ภายใต้มงกุฎขัตตินารี ไม่มีพระจอน

[แก้] พรรณไม้

[แก้] พันธุ์สัตว์

[แก้] สถานที่

การแพทย์ และการสาธารณสุข
สถาบันการศึกษา
อื่นๆ

[แก้] เหรียญและและตราไปรษณียากรที่ระลึก

[แก้] เหรียญที่ระลึก

เหรียญที่ระลึกพระราชพิธีสถาปนาพระอิสริยศักดิ์ (ซ้าย) ด้านหน้าเหรียญ สำหรับสตรี
(ขวา) ด้านหลังเหรียญ สำหรับบุรุษ
  • เหรียญที่ระลึกพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี มีลักษณะ ดังนี้[83]

ลักษณะ เป็นเหรียญเงินรูปกลมแบน เส้นผ่าศูนย์กลาง 3.1 เซนติเมตร ด้านหน้า กลางเหรียญมีพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีผินพระพักตร์เฉียงทางซ้าย ทรงฉลองพระองค์ชุดไทย ทรงสะบักปักดิ้นทอง เข็มกลัดนพเก้า ประดับเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์และเหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 9 และมีลายกลีบดอกรักชิดวงขอบ ด้านหลัง กลางเหรียญมีพระนามาภิไธยย่อ "สธ" ไขว้ภายใต้มงกุฎขัตตินารี ไม่มีพระจอน ภายในวงขอบเบื้องบนมีข้อความว่า "พระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี" เบื้องล่างมีข้อความว่า "๕ ธันวาคม ๒๕๒๐" โดยมีดอกประจำยามประกอบหัวท้ายด้านบน มีมงกุฎขัตตินารี ไม่มีพระจอน หลังมงกุฎมีห่วง

การประดับ สำหรับบุรุษ ใช้ห้อยกับแพรแถบกว้าง 3.1 เซนติเมตร พื้นของแพรแถบด้านขวาเป็นสีเหลืองขอบนอกมีริ้วสีม่วง ด้านซ้ายเป็นสีม่วงขอบนอกมีริ้วสีเหลือง ส่วนสตรีใช้ห้อยกับแพรแถบเช่นกัน แต่ผูกเป็นรูปแมลงปอ ใช้ประดับอย่างเครื่องราชอิสริยาภรณ์ หรือ ห้อยคอ หรือ ประดับโดยวิธีที่สมควรโดยไม่มีแพรแถบก็ได้

  • เหรียญที่ระลึกเนื่องในวโรกาสสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จฯ เปิดศาลาไทย ณ ประเทศนอร์เวย์ แบ่งออกเป็น เหรียญที่ทำจากทองคำและทำจากเงิน มีลักษณะ ดังนี้[84]

ด้านหน้า กลางเหรียญมีพระรูปสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ผินพระพักตร์ทางเบื้องขวา ชิดวงขอบเหรียญด้านบนมีพระนามาภิไธย "สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี" ด้านล่างมีข้อความว่า "เสด็จเปิดศาลาไทย ประเทศนอร์เวย์ พ.ศ. ๒๕๓๒" มีดอกประจำยามและเครื่องหมายโรงกษาปณ์คั่นระหว่างข้อความ

ด้านหลัง กลางเหรียญมีรูปก้อนหินสลักพระปรมาภิไธยย่อ "จปร" และเลขบอกปีคริสต์ศักราช "1907" ด้านล่างมีรูปค้อนไขว้ ชิดวงขอบเหรียญด้านบนมีข้อความว่า "H.R.H. PRINCESS MAHA CHAKRI SIRINDHORN" "1989" ด้านล่างมีข้อความว่า " APNING AV SALA THAI NORDKAPP"

  • เหรียญที่ระลึกเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี องค์อุปถัมภ์ดนตรีไทย เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมายุ 36 พรรษา มีลักษณะ ดังนี้[85]

ด้านหน้า มีพระรูปสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ผินพระพักตร์ทางเบื้องขวา ฉลองพระองค์ชุดไทย ทรงสวมสายสร้อยแห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์

ด้านหลัง กลางเหรียญมีรูประนาด และข้อความว่า "ระนาดเอก" ชิดวงขอบเหรียญด้านบนมีข้อความว่า "สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี" ด้านล่างมีข้อความว่า "องค์อุปถัมภ์ดนตรีไทย" "พ.ศ. ๒๕๓๔" มีเครื่องหมายโรงกษาปณ์

[แก้] เหรียญกษาปณ์

  • เหรียญกษาปณ์ที่ระลึกพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ออกใช้เมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2521 โดยมีลักษณะ ดังนี้[86]

ด้านหน้า เป็นพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีประดับพระอังสา ผินพระพักตร์เฉียงขวา ทรงฉลองพระองค์ชุดไทยประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ริมขอบมีข้อความว่า "สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี"

ด้านหลัง เป็นพระปรมาภิไธยย่อ "สธ" ใต้พระมงกุฎขัตติยราชนารี ริมขอบซ้ายมีข้อความว่า "๕ ธันวาคม ๒๕๒๐" ริมขอบขวามีข้อความว่า "ประเทศไทย " เบื้องล่างด้านซ้ายมีเลขบอกราคา ด้านขวามีเลขบอกราคาว่า "บาท"

  • เหรียญกษาปณ์ที่ระลึกเนื่องในวโรกาสที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีมีพระชนมายุ 36 พรรษา ออกใช้เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2534 โดยมีลักษณะ ดังนี้[87]

ด้านหน้า มีพระบรมรูปสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงเครื่องแบบเต็มยศพลตรีหญิงทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสายสะพายและสวมสายสร้อยมหาจักรีบรมราชวงศ์ ภายในวงขอบเหรียญเบื้องบนมีข้อความว่า "พลตรีหญิงสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี"

ด้านหลัง เป็นรูปพระตรา มีพระนามาภิไธยย่อ "สธ" อยู่ภายใต้พระจุลมงกุฎปักยี่กา ใต้ช่อชัยพฤกษ์ ด้านขวามีเลขบอกราคาของเหรียญ ด้านซ้ายมีข้อความ "บาท" ภายในวงขอบเหรียญเบื้องล่าง มีข้อความว่า "ฉลองพระชนมายุ ๓๖ พรรษา ๒ เมษายน ๒๕๓๔" และ "ประเทศไทย"

  • เหรียญกษาปณ์ที่ระลึกสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระชนมายุ 50 พรรษา ออกใช้เมื่อวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2548 โดยมีลักษณะ ดังนี้[88]

ด้านหน้า มีพระบรมรูปสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงฉลองพระองค์ชุดไทย ทรงสะพักปักลาย ทรงสายสะพายและสายสร้อยแห่งเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ พระอังสาเบื้องซ้ายประดับเหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 9 ชั้นที่ 1และเหรียญดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยา ริมขอบเหรียญโดยรอบประดับด้วยดอกรัก จำนวน 50 ดอก

ด้านหลัง กลางเหรียญมีอักษรพระนามาภิไธยย่อ "สธ" ไขว้ภายใต้มงกุฎขัตติยราชกุมารี และมีเส้นรัศมีเปล่งออกโดยรอบ 50 เส้น รอบรัศมีประกอบด้วยดารารัศมีจรดดอกและช่อชัยพฤกษ์ ริมขอบเหรียญโดยรอบประดับด้วยดอกรักจำนวน 50 ดอก ภายในวงขอบเหรียญเบื้องบนมีข้อความว่า "พระชนมายุ ๕๐ พรรษา ๒ เมษายน ๒๕๔๘" เบื้องล่างมีข้อความบอกราคาของเหรียญ และ ข้อความว่า "ประเทศไทย"

[แก้] ตราไปรษณียากร

  • ตราไปรษณียากรที่ระลึก 4 รอบ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นภาพพระฉายาลักษณ์ พร้อมด้วยตราอักษรพระนามาภิไธย "สธ" ขอบภาพด้านล่าง มีคำว่า "๔ รอบ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี H.R.H. PRINCESS MAHA CHAKRI SIRINDHORN'S 4th CYCLE BIRTHDAY ANNIVERSARY" ออกจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2546 จำนวน 2,000,000 ดวง[89]
  • ตราไปรษณียากรชุดโครงการเทคโนโลยีสารสนเทศเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นภาพพระฉายาลักษณ์ พร้อมด้วยตราอักษรพระนามาภิไธย "สธ" ขอบภาพด้านล่าง มีคำว่า "สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระอัฉริยภาพด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ H.R.H. PRINCESS MAHA CHAKRI SIRINDHORN" ออกจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2547 จำนวน 700,000 ดวง[90]
  • ตราไปรษณียากรที่ระลึก 50 พรรษา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นพระสาทิสลักษณ์ในฉลองพระองค์ชุดไทยทรงเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ ขอบด้านล่าง มีคำว่า "๕๐ พรรษา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี H.R.H. PRINCESS MAHA CHAKRI SIRINDHORN'S 50th BIRTHDAY ANNIVERSARY" ออกจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2548 จำนวน 1,000,000 ดวง[91]

[แก้] สัตว์ทรงเลี้ยง

พระบรมฉายาลักษณ์ทรงฉายร่วมกับสุนัขทรงเลี้ยง ณ พระตำหนักใหม่ วังสระปทุม

สุนัขทรงเลี้ยงตัวแรกของพระองค์ ชื่อ ทอฟฟี่ ซึ่งพระองค์ได้พระราชทานแก่พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ แต่ท่านเสด็จฯ ต่างประเทศ พระองค์จึงทรงรับมาเลี้ยงเอง ปัจจุบัน ทอฟฟี่อยู่ที่วังสวนจิตรลดา[92]

พระองค์ทรงมีสุนัขทรงเลี้ยงภายในวังสระปทุม แบ่งออกเป็น 5 สายพันธุ์ ได้แก่ ลาบราดอร์รีทรีฟเวอร์ 4 ตัว ชื่อ วิกค์ ปักเป้า โลมา และพะยูน, โกลเดนรีทรีฟเวอร์ 4 ตัว ชื่อ วาเป็กซ์ ปรอด กาเหว่า และขมิ้น, เซนต์เบอร์นาร์ด 1 ตัว ชื่อ แป๊ะฮวยอิ้ว, มิเนเจอร์พูเดิ้ล (Miniature Poodle) 5 ตัว ชื่อ โป้ยเซียน กะละแม ข้าวแตก ข้าวแตน และข้าวตู, ฟอกซ์เทอร์เรีย ขนลวด (Wire-haired Fox Terrier) 7 ตัว ชื่อ ทิฟฟี่ พิมเสน มหาหิงคุ์ ข่าหอม มะระ ชะพลู และหลงจิ่ง รวมทั้งสิ้น 21 ตัว[93]

สุนัขตัวแรกที่เข้ามาอยู่ภายในวังสระปทุมนั้น เป็นสุนัขที่พระสหายทูลเกล้าฯ ถวาย ซึ่งพระองค์ทรงตั้งชื่อให้ว่า ทิฟฟี่ เพื่อให้สอดคล้องกับ ทอฟฟี่ และสุนัขตัวถัดๆ มา พระองค์พระราชทานชื่อเป็นยาดม ได้แก่ วิกค์ วาเป็กซ์ โป๊ยเซียน พิมเสน และแป๊ะฮวยอิ้ว[92] โดยแป๊ะฮวยอิ้วเป็นสุนัขที่ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว[93] นอกจากนี้ ยังมี "กาละแม" ซึ่งมีผู้ตั้งชื่อถวายและพระองค์ทรงเห็นว่าเหมาะดีจึงมิได้เปลี่ยนเป็นชื่ออื่น สุนัขทั้ง 7 ตัวนับเป็นรุ่นแรกที่เข้ามาอยู่ในวังสระปทุม

สุนัขทรงเลี้ยงรุ่นถัดมานั้น จะเป็นรุ่นลูกๆ ของสุนัขที่กล่าวมาข้างต้น โดยลูกของวิกค์ 3 ตัว ได้รับพระราชทานชื่อเป็นปลา ได้แก่ ปักเป้า โลมา และพะยูน, ลูกของวาเป็กซ์ 3 ตัว ได้รับพระราชทานชื่อเป็นนก ได้แก่ ปรอด กาเหว่า และขมิ้น, ลูกของพิมเสนกับทิฟฟี่ ได้รับพระราชทานชื่อเป็นสมุนไพร ได้แก่ มหาหิงคุ์ ข่าหอม มะระ และ ชะพลู นอกจากนี้ ทิฟฟี่ยังมีลูกกับสุนัขนอกวัง 4 ตัว ได้รับพระราชทานชื่อเป็นชาจีนทั้งหมด โดยพระองค์ทรงเลี้ยงไว้ 1 ตัว ได้แก่ หลงจิ่ง และลูกของกะละแม 3 ตัว ได้รับพระราชทานชื่อเป็นขนมไทย ได้แก่ ข้าวแตก ข้าวแตน และข้าวตู[92][94]

นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงเลี้ยงปลาทองซึ่งมีผู้นำมาทูลเกล้าฯ ถวาย และปลาเทวดาอีกหลายพันธุ์ที่กรมประมงได้ทูลเกล้าฯ ถวายอีกด้วย[95]

[แก้] ราชตระกูล

พระราชตระกูลในสามรุ่นของ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
พระชนก:
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
พระอัยกาฝ่ายพระชนก:
สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม
พระบรมราชชนก
พระปัยกาฝ่ายพระชนก:
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระปัยยิกาฝ่ายพระชนก:
สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี
พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
พระอัยยิกาฝ่ายพระชนก:
สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
พระปัยกาฝ่ายพระชนก:
พระชนกชู
พระปัยยิกาฝ่ายพระชนก:
พระชนนีคำ
พระชนนี:
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
พระอัยกาฝ่ายพระชนนี:
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้านักขัตรมงคล
กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ
พระปัยกาฝ่ายพระชนนี:
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์
กรมพระจันทบุรีนฤนาถ
พระปัยยิกาฝ่ายพระชนนี:
หม่อมเจ้าอัปสรสมาน เทวกุล
พระอัยยิกาฝ่ายพระชนนี:
หม่อมหลวงบัว กิติยากร
พระปัยกาฝ่ายพระชนนี:
เจ้าพระยาวงษานุประพัทธ
พระปัยยิกาฝ่ายพระชนนี:
ท้าววนิดาพิจาริณี

[แก้] อ้างอิง

  1. ^ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเอกอัครราชูปถัมภกมรดกวัฒนธรรมไทย จาก สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม
  2. ^ คุณหญิงกุลทรัพย์ เกษแม่นกิจ, สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระมิ่งขวัญครูไทย , สกุลไทย, ฉบับที่ 2531, ปีที่ 49, ประจำวันอังคารที่ 22 เมษายน 2546
  3. ^ พระราชประวัติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี จาก เว็บไซต์กองงานในพระองค์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
  4. ^ 4.0 4.1 4.2 ราชกิจจานุเบกษา, พระบรมราชโองการ ประกาศ สถาปนา (สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา), เล่ม ๙๔, ตอน ๑๓๑ก ฉบับพิเศษ, ๒๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๐, หน้า ๑
  5. ^ 5.0 5.1 Biography of Her Royal Highness Princess Maha Chakri Sirindhorn จาก เว็บไชต์เครือข่ายกาญจนาภิเษก (อังกฤษ)
  6. ^ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ กับ วิชาประวัติศาสตร์ จาก เว็บไชต์เครือข่ายกาญจนาภิเษก
  7. ^ พระราชประวัติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จาก เว็บไซต์สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
  8. ^ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงหลักสูตรการศึกษาดุษฎีบัณฑิต สาขาพัฒนศึกษาศาสตร์ จาก เว็บไซต์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
  9. ^ พระราชพิธีสถาปนาพระราชอิสริยศักดิ์ จาก เว็บไซต์กองงานในพระองค์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
  10. ^ พระราชประวัติ ทางด้านภาษาเขมร จาก เว็บไซต์ กองงานในพระองค์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
  11. ^ พระราชประวัติ ทางด้านภาษาฝรั่งเศส จาก เว็บไซต์ กองงานในพระองค์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
  12. ^ พระราชประวัติ ทางด้านภาษาบาลีและสันสกฤต จาก เว็บไซต์ กองงานในพระองค์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
  13. ^ ปริญญากิตติมศักดิ์ที่ทรงได้รับการทูลเกล้า ฯ ถวายจากสถาบันการศึกษา จาก เว็บไซต์ กองงานในพระองค์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
  14. ^ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ พระผู้สืบสานภูมิปัญญาไทย
  15. ^ 15.0 15.1 15.2 พระราชประวัติด้านดนตรี จาก เว็บไซต์กองงานในพระองค์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
  16. ^ ศรัณยา, สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงดนตรีไทยและขับร้องเพลงไทยเดิม ร่วมวงปี่พาทย์ “บ้านปลายเนิน” ณ นครมิวนิค สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี, สกุลไทย, ฉบับที่ 2534, ปีที่ 49, วันที่ 13 พฤษภาคม 2546
  17. ^ พูนพิศ อมาตยกุล, เมื่อสมเด็จเจ้าฟ้าพระบรมราชกุมารีทรงดนตรีไทย จาก เว็บไซต์เครือข่ายกาญจนาภิเษก
  18. ^ ไทยรัฐ, เจ้าฟ้าผู้ทรงเป็น "วิศิษฏศิลปิน", วันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2550
  19. ^ ศักดิ์ศรี แย้มนัดดา, สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ กับการอนุกรักษณ์มรดกไทย ด้านภาษาไทย จาก เว็บไซต์เครือข่ายกาญจนาภิเษก
  20. ^ อมรรัตน์ เทพกำปนาท, สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี เอกอัครราชูปถัมภกมรดกวัฒนธรรมไทย และวิศิษฏศิลปิน, สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม
  21. ^ ศุภรัตน์ เลิศพาณิชย์กุล, “ร้อยประกายฉายชัดพระอัจฉริยญาณ” พระอัจฉริยภาพด้านการประพันธ์ ใน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, ฉบับที่ 2455, ปีที่ 48, ประจำวันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน 2544
  22. ^ พระราชกรณียกิจการทรงรับราชการ จาก เว็บไซต์กองงานในพระองค์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
  23. ^ พลเอกหญิง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี จาก เว็บไซต์ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
  24. ^ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งศาสตราจารย์โรงเรียนทหาร, เล่ม ๑๐๓, ฉบับพิเศษ, ๑๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๙, หน้า ๑
  25. ^ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้นายทหารรับราชการ, เล่ม ๑๑๗, ตอน ๘๒ง, ๑๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๓, หน้า ๑๒
  26. ^ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งศาสตราจารย์พิเศษ (สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี), เล่ม ๑๐๘, ตอน ๕๐ ง, ๑๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๔, หน้า ๒๕๙๓
  27. ^ วิทยาลัยกำปงเฌอเตียล ของขวัญอันยั่งยืนที่พระราชทานแก่ประชาชนชาวกัมพูชา
  28. ^ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเอกอัครราชูปถัมภกมรดกวัฒนธรรมไทย จาก สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม
  29. ^ รศ.ศุภรัตน์ เลิศพาณิชย์กุล, สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี “เอกอัครราชูปถัมภกมรดกวัฒนธรรมไทย, สกุลไทย, ฉบับที่ 2476, ปีที่ 48, ประจำวันอังคารที่ 2 เมษายน 2545
  30. ^ วิศิษฏศิลปิน จาก สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม
  31. ^ วันอนุรักษณ์มรดกไทย จาก สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม
  32. ^ พระราชกรณียกิจด้านการพัฒนา จาก เว็บไซต์กองงานในพระองค์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
  33. ^ 33.0 33.1 33.2 โครงการตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี จาก เว็บไซต์กองงานในพระองค์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
  34. ^ 34.0 34.1 34.2 ไทยรัฐ, เจ้าฟ้านักพัฒนา ผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตา, 2 เมษายน พ.ศ. 2550
  35. ^ [1]
  36. ^ [2]และนับเป็นสมาคมวิชาชีพแห่งแรกที่ทรงมีพระกรุณาธิคุณ
  37. ^ [3]
  38. ^ รายชื่อห้องสมุดประชาชนเฉลิมราชกุมารี[4]
  39. ^ [5][6]
  40. ^ พระราชกรณียกิจด้านการต่างประเทศ จาก เว็บไซต์กองงานในพระองค์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
  41. ^  : ผู้จัดการออนไลน์ , รายงานพิเศษ : “สมเด็จพระเทพฯ” : ทูตสันถวไมตรีไทย-จีน, 7 กรกฎาคม 2548
  42. ^ โครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน จาก เว็บไซต์ โครงการพัฒนาตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
  43. ^ โครงการควบคุมโรคขาดสารไอโอดีน จาก เว็บไซต์ โครงการพัฒนาตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
  44. ^ โครงการส่งเสริมโภชนาการและสุขภาพอนามัยแม่และเด็กในถิ่นทุรกันดาร จาก เว็บไซต์ โครงการพัฒนาตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
  45. ^ โครงการหน่วยแพทย์พระราชทาน จาก เว็บไซต์ โครงการพัฒนาตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
  46. ^ โครงการหน่วยทันตกรรมพระราชทาน จาก เว็บไซต์ โครงการพัฒนาตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
  47. ^ 47.0 47.1 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ กับพระพุทธศาสนา จาก เว็บไซต์ Sema.go.th
  48. ^ แนวหน้า, วธ.แจกบัตรอวยพร- สมเด็จพระเทพฯพระราชทานโคลง"คืนวิสาข์", 14 พฤษภาคม 2007
  49. ^ ไทยรัฐ, วธ.พิมพ์ 2 แสนใบ การ์ดวันวิสาขะ, 14 พฤษภาคม 2550
  50. ^ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ กับพระพุทธศาสนา จากเว็บไซต์เครือข่ายกาญจนาภิเษก
  51. ^ วัดท่าสุทธาวาส ๒ จาก เว็บไซต์สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5
  52. ^ วัดท่าสุทธาวาส จากเว็บไซต์การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
  53. ^ ความเป็นมา จาก เว็บไซต์โครงการเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
  54. ^ แนวทางการดำเนินงานตามพระราชดำริ จาก เว็บไซต์โครงการเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
  55. ^ เจ้าฟ้าไอที และ การพัฒนา, 2 เมษายน 2551
  56. ^ พิชามญชุ์, “เทคโนโลยีเพื่อชีวิต” ด้วยพระมหากรุณา ของ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี,บับที่ 2528 ปีที่ 49 ประจำวัน อังคาร ที่ 1 เมษายน 2546
  57. ^ โครงการเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อเด็กป่วย จาก เว็บไซต์โครงการเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
  58. ^ โครงการสื่อปฏิสัมพันธ์วัฒนธรรมของชาติ จาก เว็บไซต์โครงการเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
  59. ^ 59.0 59.1 องค์การยูเนสโกทูลเกล้าฯ ถวายตำแหน่งทูตสันถวไมตรีแห่งยูเนสโก จาก เว็บไซต์ โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
  60. ^ หนังสือพิมพ์มติชน, ยูเนสโกเทิด"พระเทพ" เจ้าหญิงไอที, วันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2548 ปีที่ 28 ฉบับที่ 9873
  61. ^ เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จาก เว็บไซต์ ศาลาเครื่องราชอิสริยยศ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ และเหรียญกษาปณ์
  62. ^ Biography of Her Royal Highness Princess Maha Chakri Sirindhorn : Decorations จาก เว็บไชต์เครือข่ายกาญจนาภิเษก (อังกฤษ)
  63. ^ สมศักดิ์ วิราพร.บรรณาธิการ, เทพรัตน ธ เกริกฟ้า ทั่วหล้าสรรเสริญ, กรุงเทพฯ : สำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ สำนักงานปลัด สำนักนายกรัฐมนตรี, 2547, 344 หน้า
  64. ^ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ (เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ ปฐมดิเรกคุณภรณ์ จำนวน ๘ พระองค์), เล่ม ๑๑๒, ตอน ๑๗ ข เล่มที่ ๐๐๓, ๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๘, หน้า ๑
  65. ^ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นสิริยิ่งรามกีรติลูกเสือสดุดีชั้นพิเศษ, เล่ม ๑๐๗, ตอน ๑๘๘ ง ฉบับพิเศษ, ๒๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๓, หน้า ๑
  66. ^ ราชกิจจานุเบกษา,แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญพิทักษ์เสรีชน, เล่ม ๙๒, ตอน ๘ ง ฉบับพิเศษ, ๑๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๘, หน้า ๑
  67. ^ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยา, เล่ม ๑๐๖, ตอน ๑๒๑ ง ฉบับพิเศษ, ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๒, หน้า ๑
  68. ^ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญจักรมาลา, เล่ม ๑๒๒, ตอน ๒๐ ข ฉบับทะเบียนฐานันดร, ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๘, หน้า ๑
  69. ^ พระราชประวัติ พลเอกหญิง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี จาก เว็บไซต์ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
  70. ^ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานพระยศทหาร, เล่ม ๑๑๓, ตอน ๖ข, ๒๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๙, หน้า ๑
  71. ^ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งนายทหารพิเศษ, เล่ม ๑๑๙, ตอนพิเศษ ๑๑๘ง, ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๕, หน้า ๑
  72. ^ รางวัลพระเกี้ยวทองคำ จาก เว็ปไซต์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  73. ^ พระราชประวัติ ทางด้านภาษาอังกฤษ จาก เว็บไซต์ กองงานในพระองค์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
  74. ^ The 1991 Ramon Magsaysay Award for Public Service citation for Princess Maha C. Sirindhornจาก เว็ปไซต์ รางวัลรามอน แมกไซไซ (อังกฤษ)
  75. ^ การแถลงข่าว ทูลเกล้าฯถวายสภาวิจัยแห่งชาติ : รางวัลนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2545 จาก เว็บไซต์ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
  76. ^ ทศพิธ, สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี กับรางวัลอินทิรา คานธี ประจำปี ๒๕๔๗, สกุลไทย, ฉบับที่ 2681, ปีที่ 52, วันที่ 7 มีนาคม 2549
  77. ^ จีนถวายรางวัลพระเทพฯ 1 ใน10 มิตรที่ดีที่สุด หนังสือพิมพ์คมชัดลึก วันอังคารที่ 8 ธันวาคม 2552
  78. ^ ราชกิจจานุเบกษา, พระบรมราชโองการ ประกาศ แต่งตั้งอุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย, เล่ม ๙๔, ตอน ๑๓๑ ก ฉบับพิเศษ, ๒๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๐, หน้า ๗
  79. ^ Thai Princess agrees to appointment as WFP special ambassador for School Feeding จาก เว็บไซต์ World food programme (อังกฤษ)
  80. ^ UNESCO Celebrity Advocates : Her Royal Highness Princess Maha Chakri Sirindhorn จาก เว็บไซต์ United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization (อังกฤษ)
  81. ^ THAI FOREST BULLETIN (BOTANY)
  82. ^ http://www.rspg.or.th/exacum/exacum.htm ม่วงเทพรัตน์
  83. ^ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชบัญญัติเหรียญที่ระลึกพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี พ.ศ. ๒๕๒๑, เล่ม ๙๕, ตอน ๑๐๒ ก, ๒๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๑, หน้า ๕๕๐
  84. ^ เหรียญที่ระลึกเนื่องในวโรกาสสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จฯ เปิดศาลาไทย ณ ประเทศนอร์เวย์ จากกรมธนารักษ์
  85. ^ เหรียญที่ระลึกเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี องค์อุปถัมภ์ดนตรีไทย เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมายุ 36 พรรษา จาก เว็บไซต์กรมธนารักษณ์
  86. ^ เหรียญกษาปณ์ที่ระลึกพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จาก เว็บไซต์กรมธนารักษ์
  87. ^ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ออกใช้เหรียญกระษาปณ์ที่ระลึกเนื่องในโอกาสที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระชนมายุ ๓๖ พรรษา พ.ศ. ๒๕๓๔, เล่ม ๑๐๘, ตอน ๖๐ ง ฉบับพิเศษ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๔, หน้า ๓
  88. ^ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่องออกใช้เหรียญกษาปน์ที่ระลึกสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี พระชนมายุ ๕๐ พรรษา พ.ศ. ๒๕๔๘, เล่ม ๑๒๒ ,ตอนพิเศษ ๒๘ ง, ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๘, หน้า ๑
  89. ^ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เรื่อง สร้างและจำหน่ายตราไปรษณียากรที่ระลึก ๔ รอบ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, เล่ม ๑๒๐, ตอน ๕๖ ง, ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๖, หน้า ๑๖
  90. ^ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เรื่อง สร้างและจำหน่ายตราไปรษณียากรชุดโครงการเทคโนโลยีสารสนเทศเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, เล่ม ๑๒๑, ตอน ๗๑ ง, ๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๗,หน้า ๑๐
  91. ^ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เรื่อง สร้างและจำหน่ายตราไปรษณียากรที่ระลึก ๕๐ พรรษา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี, เล่ม ๑๒๒, ตอน ๗๒ ง, ๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๘, หน้า ๙
  92. ^ 92.0 92.1 92.2 กรุงเทพธุรกิจ, สัตว์เลี้ยงวังสระปทุม, วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2548
  93. ^ 93.0 93.1 สิรินธร,Diary 2549/2006 สัตว์เลี้ยงวังสระปทุม,อมรินทร์พรินติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, พ.ศ. 2548, ISBN 974-9931-37-8
  94. ^ อารตี, รองศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.สุดสรร ศิริไวทยพงศ์, สกุลไทย, ฉบับที่ 2686, ปีที่ 52, ประจำวันอังคารที่ 11 เมษายน 2549
  95. ^ มติชนออนไลน์, 'พระเทพฯ' ทรงเผยถึงช่วงเวลาทรงสำราญในการเล่นกับสุนัข ประดาสัตว์ วังสระปทุม, วันที่ 19 พฤจิกายน 2550

[แก้] แหล่งข้อมูลอื่น

ภาษาอื่น