จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
พระเกี้ยว
“ ความรู้คู่คุณธรรม
(ทางการ)
เกียรติภูมิจุฬาฯ คือเกียรติแห่งการรับใช้ประชาชน
(ไม่เป็นทางการ)

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทย[1] ตั้งอยู่ที่เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ถือกำเนิดจาก "โรงเรียนสำหรับฝึกหัดวิชาข้าราชการฝ่ายพลเรือน" ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ก่อตั้งขึ้นภายในพระบรมมหาราชวัง เมื่อปี พ.ศ. 2442 พร้อมทั้งพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญ "พระเกี้ยว" มาเป็นเครื่องหมายประจำโรงเรียน การดำเนินงานของโรงเรียนมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเป็นลำดับ จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2459 (ขณะนั้นนับวันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ นับอย่างใหม่ต้องเข้าปี พ.ศ. 2460) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสถาปนาขึ้นเป็นมหาวิทยาลัย และพระราชทานนามว่า "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" เพื่อเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์เฉลิมพระเกียรติแห่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมชนกนาถของพระองค์ นับตั้งแต่ พ.ศ. 2460 ถึงปัจจุบัน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีผู้บัญชาการและอธิการบดีดำรงตำแหน่งมาแล้ว 16 คน อธิการบดีคนปัจจุบัน คือ ศาสตราจารย์ นายแพทย์ภิรมย์ กมลรัตนกุล

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับยกย่องเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก ทั้งในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์การแพทย์ สังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์[2] และได้รับการรับรองมาตรฐานการศึกษาในระดับดีมาก จาก สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา[3] ปัจจุบัน เปิดการเรียนการสอนใน 19 คณะ บัณฑิตวิทยาลัย วิทยาลัย และสถาบันต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น 492 สาขาวิชา หลักสูตรนานาชาติและภาษาอังกฤษ รวมทั้งสิ้น 70 สาขาวิชา[4] นอกจากนี้ ยังได้จัดตั้งสถาบันวิจัยขึ้นภายในมหาวิทยาลัยอีกหลายแห่งเพื่อดำเนินการวิจัยในศาสตร์ต่าง ๆ ด้วย

ในอดีต ผู้ที่จบการศึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับพระมหากรุณาธิคุณ ให้เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช แต่ในปัจจุบันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินมาปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ในการพระราชทานปริญญาบัตร แก่บัณฑิต มหาบัณฑิต และดุษฎีบัณฑิต แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เนื้อหา

[แก้] ประวัติ

พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระปิยมหาราชและสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถือกำเนิดจาก “โรงเรียนสำหรับฝึกหัดวิชาข้าราชการฝ่ายพลเรือน” ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2442 ณ ตึกยาว ข้างประตูพิมานชัยศรี ในพระบรมมหาราชวัง ด้วยมีพระราชปรารภที่จะทรงจัดการปกครองพระราชอาณาจักรให้ทันกาลสมัย จึงจัดตั้งโรงเรียนเพื่อฝึกหัดนักเรียนสำหรับรับราชการปกครองขึ้นในกระทรวงมหาดไทย ซึ่งนักเรียนที่จบการศึกษาจากโรงเรียนแห่งนี้ จะได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กรับราชการใกล้ชิดพระองค์ และด้วยประเพณีโบราณที่ข้าราชการจะถวายตัวเข้าศึกษางานในกรมมหาดเล็ก ก่อนที่จะออกไปรับตำแหน่งในกรมอื่น ๆ ดังนั้น พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนนามโรงเรียนเป็น “โรงเรียนมหาดเล็ก” เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2445[5]

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริที่จะขยายการจัดการศึกษา เพื่อผลิตนักเรียนไปรับราชการในกระทรวง ทบวง กรมอื่น ๆ ไม่เฉพาะกระทรวงมหาดไทยเท่านั้น จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกโรงเรียนมหาดเล็กเป็นโรงเรียนข้าราชการพลเรือน โดยใช้วังวินด์เซอร์เป็นสถานที่ประกอบการเรียนการสอน และสถาปนาขึ้นเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2453 พร้อมทั้ง พระราชทานนามโรงเรียนแห่งนี้ว่า “โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” เนื่องจากเป็นโรงเรียนที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระราชดำริจัดตั้งขึ้น และได้ใช้เงินคงเหลือจากการที่ราษฎรเรี่ยรายกันเพื่อสร้างพระบรมรูปทรงม้านั้น มาใช้เป็นทุนของโรงเรียนแห่งนี้[6] นอกจากนี้ ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กำหนดที่ดินพระคลังข้างที่รวมเนื้อที่ทั้งสิ้น 1,309 ไร่เป็นเขตโรงเรียน[7] โดยมีการจัดการศึกษาใน 5 โรงเรียน (คณะในปัจจุบัน) ได้แก่ โรงเรียนรัฎฐประศาสนศาสตร์ โรงเรียนคุรุศึกษา โรงเรียนราชแพทยาลัย โรงเรียนเนติศึกษา และโรงเรียนยันตรศึกษา[8]

ต่อมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริเห็นสมควรที่จะขยายการศึกษาในโรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น คือ ไม่เฉพาะสำหรับผู้ที่จะเล่าเรียนเพื่อรับราชการเท่านั้น แต่ผู้ใดที่มีความประสงค์จะศึกษาขั้นสูงก็สามารถเข้าเรียนได้ทั่วถึงกัน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นเป็นมหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2459 พร้อมทั้งพระราชทานนามว่า “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” เพื่อเป็นอนุสาวรีย์สมพระเกียรติแห่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว[9]

ตราสัญลักษณ์โรงเรียนข้าราชการพลเรือน

ระหว่างปี พ.ศ. 2459 - 2465 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีการปรับปรุงมาตรฐานการศึกษาระดับประกาศนียบัตร พร้อมกับเริ่มเตรียมการเรียนการสอนระดับปริญญา โดยขณะนั้นจัดการศึกษาเป็น 4 คณะ ได้แก่ คณะรัฐประศาสนศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ในปัจจุบัน) คณะวิศวกรรมศาสตร์ และ คณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ และในระหว่างปี พ.ศ. 2481 - 2490 เริ่มเน้นการเรียนการสอนอันเป็นพื้นฐานของวิชาชีพในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยมีการจัดตั้งเตรียมมหาวิทยาลัย คือ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ในปัจจุบัน)

เมื่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงด้านภาษาและหนังสือหลายประการ เช่น ยกเลิกการใช้อักษร "" ให้ใช้ "," แทน และ ยกเลิกการใช้ "" ให้ใช้ "" แทน [10] ดังนั้น จึงได้ปรากฏการเขียนชื่อมหาวิทยาลัยในรูปแบบอื่นอีก ได้แก่ "จุลาลงกรน์มหาวิทยาลัย"[11] ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงไปตามสมัยนิยม อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลใหม่ ในปี พ.ศ. 2487 ก็มีการประกาศยกเลิกการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว และให้กลับไปใช้การเขียนภาษาในรูปแบบเดิม การเขียนชื่อมหาวิทยาลัยจึงกลับเป็นแบบเดิม

หลังจากนั้น ในช่วงพ.ศ. 2497 - พ.ศ. 2514 ยังสามารถพบการเขียนนามมหาวิทยาลัยว่า "จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย" ซึ่งไม่มีเครื่องหมายทัณฑฆาตที่ "" เช่น พระราชบัญญัติจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ฉบับที่ 4, 5 และ 6[12]

ระหว่างปี พ.ศ. 2491 - 2503 มหาวิทยาลัยก็ได้ขยายการศึกษาไปยังสาขาต่าง ๆ ให้กว้างขวางขึ้นโดยเน้นการศึกษาในระดับปริญญาตรีเป็นหลัก และตั้งแต่ พ.ศ. 2504 - ถึงปัจจุบัน มหาวิทยาลัยได้ขยายการศึกษาระดับปริญญาตรีอย่างกว้างขว้าง พร้อมกับพัฒนาการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา และก่อตั้งหน่วยงานต่างๆ เพื่อสนับสนุนการเรียนการสอนและงานบริการทางวิชาการแก่สังคม

[แก้] สัญลักษณ์ประจำจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

พระเกี้ยว ตราประจำมหาวิทยาลัย

[แก้] ทำเนียบผู้บัญชาการและอธิการบดี

นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน (พ.ศ. 2550) นับได้ 90 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมี ผู้บัญชาการและอธิการบดีมาแล้ว 15 คน ดังรายพระนาม และรายนามต่อไปนี้[19]

ผู้บัญชาการ
รายนามผู้บัญชาการ วาระการดำรงตำแหน่ง อ้างอิง
1. มหาอำมาตย์ตรี พระยาอนุกิจวิธูร (สันทัด เทพหัสดิน ณ อยุธยา) 6 เมษายน พ.ศ. 2460 - 31 มีนาคม พ.ศ. 2468 [2]
2. มหาอำมาตย์ตรี พระยาภะรตราชา (ม.ล.ทศทิศ อิศรเสนา) 10 ธันวาคม พ.ศ. 2472 - 1 กันยายน พ.ศ. 2475 [3]
อธิการบดี
รายพระนาม และรายนามอธิการบดี วาระการดำรงตำแหน่ง อ้างอิง
3. ศาสตราจารย์นายแพทย์ เอ.จี. เอลลิส (A.G. Ellis) 21 ตุลาคม พ.ศ. 2478 - 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2479 [4]
4. จอมพลแปลก พิบูลสงคราม

24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2479 - 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 (วาระที่ 1)
24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 - 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2483 (วาระที่ 2)
24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2483 - 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2485 (วาระที่ 3)
24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2485 - 1 สิงหาคม พ.ศ. 2487 (วาระที่ 4)
21 ตุลาคม พ.ศ. 2492 - 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2493 (วาระที่ 5)

[5]

[6]


[7][8]

5. ศาสตราจารย์หม่อมเจ้ารัชฎาภิเศก โสณกุล

1 กันยายน พ.ศ. 2487 - 31 สิงหาคม พ.ศ. 2489 (วาระที่ 1)
1 กันยายน พ.ศ. 2489 - 31 สิงหาคม พ.ศ. 2491 (วาระที่ 2)
1 กันยายน พ.ศ. 2491 - 5 กันยายน พ.ศ. 2492 (วาระที่ 3)

[9]
[10]
[11]

6. พลอากาศโทมุนี มหาสันทนะ เวชยันตรังสฤษฎ์

17 สิงหาคม พ.ศ. 2493 - 16 สิงหาคม พ.ศ. 2495 (วาระที่ 1)
17 สิงหาคม พ.ศ. 2495 - 16 สิงหาคม พ.ศ. 2497 (วาระที่ 2)
17 สิงหาคม พ.ศ. 2497 - 16 สิงหาคม พ.ศ. 2499 (วาระที่ 3)
17 สิงหาคม พ.ศ. 2499 - 16 สิงหาคม พ.ศ. 2501 (วาระที่ 4)
29 สิงหาคม พ.ศ. 2499 - 28 สิงหาคม พ.ศ. 2503 (วาระที่ 5)
29 สิงหาคม พ.ศ. 2403 - 6 กันยายน พ.ศ. 2504 (วาระที่ 6)

[12]

[13]
[14]
[15]
[16]
[17]

7. จอมพลประภาส จารุเสถียร

7 กันยายน พ.ศ. 2504 - 6 กันยายน พ.ศ. 2506 (วาระที่ 1)
7 กันยายน พ.ศ. 2506 - 6 กันยายน พ.ศ. 2508 (วาระที่ 2)
7 กันยายน พ.ศ. 2508 - 6 กันยายน พ.ศ. 2510 (วาระที่ 3)
7 กันยายน พ.ศ. 2510 - 26 มีนาคม พ.ศ. 2512 (วาระที่ 4)

[18]
[19]
[20]
[21]

8. ศาสตราจารย์ ดร.แถบ นีละนิธิ

27 มีนาคม พ.ศ. 2512 - 3 มิถุนายน พ.ศ. 2512 (รักษาการ)
4 มิถุนายน พ.ศ. 2512 - 3 มิถุนายน พ.ศ. 2514


[22]

9. ศาสตราจารย์อรุณ สรเทศน์ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2514 - 3 มิถุนายน พ.ศ. 2516 (วาระที่ 1)

4 มิถุนายน พ.ศ. 2516 - 3 มิถุนายน พ.ศ. 2518 (วาระที่2)

[23]
[24]

10. ศาสตราจารย์กิตติคุณ เติมศักดิ์ กฤษณามระ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2518 - 3 มิถุนายน พ.ศ. 2520 [25]
11. ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.เกษม สุวรรณกุล

4 มิถุนายน พ.ศ. 2520 - 3 มิถุนายน พ.ศ. 2522 (วาระที่ 1)
4 มิถุนายน พ.ศ. 2522 - 3 มิถุนายน พ.ศ. 2524 (วาระที่ 2)
4 มิถุนายน พ.ศ. 2524 - 31 มีนาคม พ.ศ. 2528 (วาระที่ 3)
1 เมษายน พ.ศ. 2528 - 2 มกราคม พ.ศ. 2532 (วาระที่ 4)

[26]

[27]
[28]

12. ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์จรัส สุวรรณเวลา 2 มกราคม พ.ศ. 2532 - 2 มกราคม พ.ศ. 2536 (วาระที่ 1)
2 มกราคม พ.ศ. 2536 - 31 มีนาคม พ.ศ. 2539 (วาระที่ 2)
[29]

[30]

13. ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.เทียนฉาย กีระนันทน์ 1 เมษายน พ.ศ. 2539 - 31 มีนาคม พ.ศ. 2543

[31]

14. รองศาสตราจารย์ ดร.ธัชชัย สุมิตร 1 เมษายน พ.ศ. 2543 - 31 มีนาคม พ.ศ. 2547 [32]
15. ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.คุณหญิง สุชาดา กีระนันทน์ 1 เมษายน พ.ศ. 2547 - 31 มีนาคม พ.ศ. 2551 [33]
16. ศาสตราจารย์นายแพทย์ภิรมย์ กมลรัตนกุล 1 เมษายน พ.ศ. 2551 - ปัจจุบัน [34]

[แก้] การศึกษา

หอประชุมจุฬาฯ

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดทำการเรียนการสอนครอบคลุมทั้งสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์สุขภาพ สังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ ในปีการศึกษา 2549 เปิดทำการเรียนการสอนในหลักสูตรปกติทั้งหมด 492 สาขาวิชา โดยจำแนกเป็นระดับปริญญาตรี 118 สาขาวิชา, หลักสูตรระดับประกาศนียบัตรบัณฑิต 29 สาขาวิชา หลักสูตรระดับปริญญาโท 217 สาขาวิชา หลักสูตรระดับประกาศนียบัตรบัณฑิตชั้นสูง 35 สาขาวิชา และหลักสูตรระดับปริญญาเอก 93 สาขาวิชา นอกจากนี้ ยังจัดการเรียนการสอนในหลักสูตรนานาชาติและหลักสูตรภาษาอังกฤษ อีก 70 สาขาวิชา[4] ปัจจุบัน ประกอบด้วยส่วนงานทางวิชาการ ที่จัดการเรียนการสอนได้แก่ [20]

นอกจากนี้ ยังมีส่วนงานที่จัดการเรียนการสอนและงานวิจัยเฉพาะในระดับบัณฑิตศึกษา ได้แก่

รวมทั้ง มีสถาบันสมทบอีก 3 แห่ง ได้แก่

[แก้] งานวิจัย

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีส่วนงานที่มีวัตถุประสงค์หลักในการก่อตั้งเพื่อเป็นสถาบันวิจัยในศาสตร์สาขาต่างๆ ดังต่อไปนี้

หน่วยงานที่สนับสนุนการทำวิจัยที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ อีก ได้แก่ ศูนย์บริการวิชาการ (Unisearch) มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้คณาจารย์และนักวิจัยของมหาวิทยาลัยนำผลการศึกษาวิจัยออกสู่สังคมและหน่วยงานนอกมหาวิทยาลัย ส่วนหน่วยงานสถาบันทรัพย์สินทางปัญญาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ผลงานศึกษาวิจัยได้พัฒนาและนำไปสู่การจดสิทธิบัตรประเภทต่าง ๆ

ในปี พ.ศ. 2549 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับทุนสนับสนุนโครงการวิจัย แบ่งตามสาขา 4 สาขา[21] ได้แก่

นอกจากนี้ ยังมีโครงการวิจัยสหสาขาวิชา 2 โครงการ และโครงการอื่น ๆ ในบัณฑิตวิทยาลัย และศูนย์บริการวิชาการ (Unisearch) โดยในปี พ.ศ. 2549 มีผลงานตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติในฐานข้อมูล ISI จำนวน 538 เรื่อง ฐานข้อมูล Pubmed จำนวน 288 เรื่อง ฐานข้อมูล ScienceDirect จำนวน 220 เรื่อง และฐานข้อมูล Scopus 604 เรื่อง รวมจำนวนผลงานที่มีอยู่ในฐานข้อมูลโดยไม่นับซ้ำเป็นจำนวน 897 เรื่อง นอกจากนี้ ยังมีผลงานที่ได้รับการตีพิมพ์ในระดับชาติอีกจำนวน 848 เรื่อง[21]

[แก้] อันดับและมาตรฐานของมหาวิทยาลัย

[แก้] การประเมินคุณภาพภายนอก

สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) หรือ สมศ. ได้เข้าประเมินคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยได้รับรองมาตรฐานในระดับดีมากแก่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นอกจากนี้ ยังได้ประเมินแยกเป็นรายกลุ่มวิชาโดยได้รับรองให้กลุ่มวิทยาศาสตร์สุขภาพ กลุ่มวิทยาศาสตร์ชีวภาพและกายภาพ กลุ่มวิศวกรรมศาสตร์ กลุ่มครุศาสตร์ กลุ่มศิลปกรรมศาสตร์ และกลุ่มสหวิทยาการอยู่ในระดับดีมาก และกลุ่มสถาปัตยกรรมศาสตร์ กลุ่มบริหาร พาณิชยศาสตร์ การบัญชี การจัดการท่องเที่ยว และเศรษฐศาสตร์ กลุ่มมนุษย์และสังคมศาสตร์ อยู่ในระดับดี[3]

[แก้] อันดับมหาวิทยาลัย

ดูเพิ่มที่ อันดับมหาวิทยาลัยในประเทศไทย

นอกจากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโดยหน่วยงานในประเทศไทยแล้ว จากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก 200 อันดับแรกประจำปี พ.ศ. 2552 (ค.ศ. 2009) โดยวารสาร ไทมส์ไฮเออร์เอดูเคชันซัปพลีเมนต์ ซึ่งจัดอันดับโดยวิธีออกแบบสำรวจถามความเห็นจากอาจารย์มหาวิทยาลัยและนายจ้าง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอยู่อันดับที่ 138 ของโลก ดีกว่าปีที่แล้วซึ่งอยู่ในอันดับที่ 166 ส่วนการจัดอันดับโดยแยกเป็นสาขาวิชาต่าง ๆ นั้น ด้านสังคมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอยู่ในอันดับที่ 51 ด้านเทคโนโลยี อยู่ในอันดับที่ 78 ด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ อยู่ในอันดับที่ 51 ด้านศิลปศาสตร์และมนุษยศาสตร์ อยู่ในอันดับที่ 49 และ ด้านวิทยาศาสตร์ อยู่ในอับดันที่ 136[22]

นอกจากนี้ QS Asian University Ranking ซึ่งจัดอันดับมหาวิทยาลัยในแถบประเทศเอเชียประจำปี พ.ศ. 2552 (ค.ศ. 2009) โดย Quacquarelli Symonds พบว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับการจัดอันดับในภาพรวมอยู่ในอันดับที่ 35 ของเอเชีย ส่วนด้านสังคมศาสตร์ อยู่ในอันดับที่ 10 ด้านเทคโนโลยี อยู่ในอันดับที่ 24 ด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ อยู่ในอันดับที่ 12 ด้านศิลปศาสตร์และมนุษยศาสตร์ อยู่ในอันดับที่ 10 และ ด้านวิทยาศาสตร์ อยู่ในอับดันที่ 30[23]

[แก้] พื้นที่มหาวิทยาลัย

[แก้] พื้นที่การศึกษา

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แบ่งพื้นที่การศึกษาออกเป็น 6 ส่วน[24] ซึ่งอยู่บริเวณ แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน ได้แก่

  • ส่วนที่ 1 ฝั่งตะวันออกของถนนพญาไทประกอบด้วย พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สนามรักบี้ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ อาคารมหาวชิราวุธ ศาลาพระเกี้ยว ศูนย์หนังสือจุฬาฯ (สาขาศาลาพระเกี้ยว) หอประวัติ (ตึกจักรพงษ์) อาคารจุลจักรพงษ์ สระว่ายน้ำ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี วิทยาลัยประชากรศาสตร์ สถาบันภาษา สถาบันวิจัยสังคม สถาบันเอเชียศึกษา และสถาบันการขนส่ง
  • ส่วนที่ 2 ฝั่งตะวันตกของถนนพญาไท ประกอบด้วย สำนักอธิการบดี (กลุ่มอาคารจามจุรี 1-5,8-9) บัณฑิตวิทยาลัย สนามกีฬาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศูนย์กีฬาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฟิตเนสเซ็นเตอร์ คณะนิเทศศาสตร์ คณะครุศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิทยาลัยปิโตรเลียมและปิโตรเคมี สถาบันวิจัยโลหะและวัสดุ สถาบันวิทยบริการ สถานีวิทยุจุฬาฯ โรงพิมพ์จุฬาฯ ธรรมสถาน สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์ หอพักนิสิตแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาคารวิทยพัฒนา อาคารแว่นแก้ว หอพักศศนิเวศ อาคารศศปาฐศาลา ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์
  • ส่วนที่ 3 ทิศเหนือของถนนพญาไท ติดกับสยามสแควร์ ประกอบด้วย คณะทันตแพทยศาสตร์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ โอสถศาลา และอาคารวิทยกิตติ์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ ศูนย์หนังสือจุฬาฯ (สาขาสยามสแควร์) คณะพยาบาลศาสตร์ (ชั้น 12) และคณะจิตวิทยา (ชั้น 16)
  • ส่วนที่ 4 ทิศตะวันออกของถนนอังรีดูนังต์ บนพื้นที่ของสภากาชาดไทยเป็นที่ตั้งของคณะแพทยศาสตร์และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลในสังกัดสภากาชาดไทย และวิทยาลัยพยาบาลสภากาชาดไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาบันสมทบของจุฬาฯ
  • ส่วนที่ 5 เป็นพื้นที่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับคืนจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (พลศึกษา) คือ พื้นที่บริเวณระหว่างห้างมาบุญครอง และสนามกีฬาแห่งชาติ ในส่วนนี้เป็นกลุ่มอาคารจุฬาพัฒน์ อันเป็นที่ตั้งของสำนักวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา คณะสหเวชศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์และคณะจิตวิทยา
  • ส่วนที่ 6 คือ พื้นที่ภายในโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และ โรงเรียนสาธิตปทุมวัน (ได้รับคืนจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน) ในส่วนนี้เป็นกลุ่มอาคารจุฬาวิชช์ อันเป็นส่วนขยายของคณะศิลปกรรมศาสตร์ คณะจิตวิทยา และโครงการขยายโอกาสอุดมศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

นอกจากนี้ยังมีส่วนภูมิภาคซึ่งเป็นหน่วยจัดการเรียนการสอนและพื้นที่ในความดูแลของมหาวิทยาลัย อาทิเช่น พระตำหนักดาราภิรมย์ จังหวัดเชียงใหม่ พระจุฑาธุชราชฐานเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี ไร่ฝึกจารุเสถียร (ศูนย์ฝึกนิสิต คณะสัตวแพทยศาสตร์) จังหวัดนครปฐม อาคารวิชชาคาม 1 (ศูนย์การเรียนรู้ฯ นิสิตชั้นปีที่ 2 และ 3 สาขาวิชาการพัฒนาซอฟต์แวร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์) อาคารวิชชาคาม 2 และกลุ่มอาคารชมพูภูคา ศูนย์การเรียนรู้และบริการวิชาการ เครือข่ายแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จังหวัดน่าน

[แก้] สถาปัตยกรรมที่สำคัญในมหาวิทยาลัย

อาคารมหาจุฬาลงกรณ์
  • อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ และ อาคารมหาวชิราวุธ หรือ ตึกคณะอักษรศาสตร์ เป็นอาคารที่มีเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมไทย ก่อสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2457 โดยเป็นตึกบัญชาการของโรงเรียนข้าราชการพลเรือน นอกจากนี้ ตึกคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยังได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่นจากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อปี พ.ศ. 2530[25]
  • เรือนภะรตราชา สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยก่อตั้งมหาวิทยาลัยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเป็นที่พักของผู้บริหาร อาจารย์ชาวต่างประเทศ และข้าราชการของมหาวิทยาลัย หลังจากเกิดการชำรุดตามกาลเวลา เรือนหลังนี้จึงได้รับการบูรณะเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานและเป็นการระลึกถึงพระยาภะรตราชา (ม.ล.ทศทิศ อิศรเสนา) อดีตผู้บัญชาการมหาวิทยาลัย ที่เคยพำนักอยู่ ณ เรือนแห่งนี้ด้วย เรือนภะรตราชาได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่นจากสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อปี พ.ศ. 2540[26][27]
  • หอประชุม จุฬาฯ สร้างขึ้นในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็น อธิการบดี โดยมีความมุ่งหวังให้เป็นที่รับรองพระบรมวงศานุวงศ์ที่เสด็จมาประกอบพระกรณียกิจที่มหาวิทยาลัย และใช้เป็นสถานที่ประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย

[แก้] พิพิธภัณฑ์ในมหาวิทยาลัย

ดูบทความหลักที่ พิพิธภัณฑ์ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ภายในพื้นที่ของจุฬาฯ นั้น นอกจากเป็นที่ตั้งของคณะต่าง ๆ แล้ว ยังมีพิพิธภัณฑ์ที่ตั้งอยู่ตามคณะต่าง ๆ เพื่อเป็นแหล่งถ่ายทอดความรู้ทั้งในเชิงวิชาการและการอนุรักษ์ โดยที่ "คณะวิทยาศาสตร์" นั้นเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑสถานธรรมชาติวิทยา พิพิธภัณฑสถานธรณีวิทยา พิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีทางภาพ และพิพิธภัณฑสถานพืชศาสตราจารย์กสิน สุวะตะพันธุ์ ในขณะที่ "คณะแพทยศาสตร์" เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑสถานกายวิภาคศาสตร์ พิพิธภัณฑสถานออร์โธปิดิกส์ และพิพิธภัณฑสถานกุมารศัลยศาสตร์ นอกจากนี้ คณะทันตแพทยศาสตร์เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑสถานวาจวิทยาวัฑฒน์ "คณะเภสัชศาสตร์" เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑสถานเครื่องยาไทยและประวัติเภสัชกรรมไทย และ " คณะสัตวแพทยศาสตร์ " เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑสถานปรสิตวิทยาในสัตว์

นอกจากนี้ ทางมหาวิทยาลัยยังมีพิพิธภัณฑ์ซึ่งตั้งอยู่ตามจังหวัดต่าง ๆ อันได้แก่ พิพิธภัณฑ์พระตำหนักดาราภิรมย์ จังหวัดเชียงใหม่ และพิพิธภัณฑ์พระจุฑาธุชราชฐานเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี

[แก้] การใช้พื้นที่มหาวิทยาลัยในส่วนอื่น ๆ

  • ต้นไม้สำคัญของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีอยู่ 6 ต้น คือ ต้นจามจุรีพระราชทาน 5 ต้น ที่สองข้างของบริเวณเสาธงหน้าหอประชุม และต้นพระศรีมหาโพธิ์ ตั้งอยู่บริเวณระหว่างอาคารมหาธีรราชานุสรณ์ และอาคารจามจุรี 5
  • พื้นที่ลานจอดรถหน้าศาลาพระเกี้ยว: ทุก ๆ วันศุกร์ (หรือตามแต่กรรมการสโมสรอาจารย์เป็นผู้กำหนด) จะจัดเป็นตลาดนัดตั้งแต่เช้าจรดเย็น เรียกกันว่า ตลาดพิกุล เนื่องจากพื้นที่นั้นมีต้นพิกุล กิจกรรมดังกล่าวดำเนินการโดยสโมสรอาจารย์

[แก้] ชีวิตในมหาวิทยาลัย

หอนาฬิกาบริเวณหน้าอาคารจักรพงษ์ (หอประวัติ)

การเรียนในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะใช้เวลาใกล้เคียงกับการเรียนในมหาวิทยาลัยอื่น โดยทั่วไปจะใช้เวลา 4 ปีในการเรียน แต่สำหรับคณะครุศาสตร์และคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ใช้เวลา 5 ปี ในขณะที่ คณะแพทยศาสตร์ คณะทันตแพทยศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ และคณะสัตวแพทยศาสตร์จะใช้เวลา 6 ปี ตลอดระยะเวลาการเรียน มีทั้งการเรียนในคณะของตนเอง และการเรียนวิชานอกคณะได้ พบปะกับบุคคลในคณะอื่น นอกจากนี้ ยังมีการร่วมกิจกรรมในมหาวิทยาลัยหลายอย่าง ไม่ว่าการเข้าชมรมของมหาวิทยาลัย การเข้าชมรมของคณะ การเล่นกีฬา หรือการพบปะกับเพื่อนหรือรุ่นพี่ที่มาจากโรงเรียนเดียวกันที่โต๊ะโรงเรียน

[แก้] กิจกรรมและชมรม

การเข้าร่วมกิจกรรมชมรมในจุฬาลงกรณ์ไม่มีการจำกัดชั้นปี โดยชมรมของมหาวิทยาลัยนั้นเปิดให้นิสิตในแต่ละคณะรวมกัน และเจอกับนิสิตคณะอื่น พบปะสังสรรค์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และมีชมรมที่จัดขึ้นเฉพาะคณะต่าง ๆ โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ตึกจุลจักรพงษ์ โดยชมรมต่าง ๆ แบ่งเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ ชมรมสังกัดฝ่ายวิชาการ เช่น ชมรมพุทธศาสน์และประเพณี ชมรมวาทศิลป์และมนุษยสัมพันธ์ ชมรมประดิษฐ์และออกแบบเป็นต้น ชมรมสังกัดฝ่ายพัฒนาสังคมและบำเพ็ญประโยชน์ เช่น ชมรมสลัม ชมรมค่ายอาสาพัฒนาชาวไทยภูเขา

[แก้] ประเพณีมหาวิทยาลัย

งานลอยกระทง 
งานลอยกระทงจัดขึ้นทุกทุกปีในวันลอยกระทง จัดขึ้นโดยในงานมีจัดทำกระทงของแต่ละคณะ ขบวนพาเหรด และนางนพมาศจากแต่ละคณะมาประชันกัน และในตัวงานได้มีการจัดงานรื่นเริง พร้อมเกมการละเล่นโดยรอบบริเวณสระน้ำหน้าลานพระบรมรูปสองรัชกาล
การประชุมเชียร์ 
คือ กิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อประสานความสัมพันธ์ของนิสิตปี 1 จุดประสงค์ของงานเพื่อให้นิสิตเรียนรู้เพลง ประเพณี และธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบต่อกันมายาวนานของมหาวิทยาลัย โดยมักจัดขึ้นในห้องเชียร์ เพื่อให้นิสิตได้รู้จักเพื่อน งานรับน้องจัดโดยนิสิตรุ่นพี่ในคณะ เป็นแนวปฏิบัติของนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยต่อเนื่องกันมาทุกรุ่น

[แก้] งานกิจกรรมในมหาวิทยาลัย

จุฬาฯ วิชาการ 
งานวิชาการที่จัดขึ้นทุก ๆ 3 ปี จัดขึ้นในตัวมหาวิทยาลัยโดยมีจุดประสงค์เพื่อให้บุคคลภายนอก รวมทั้งนักเรียนจากระดับประถมถึงมัธยม ได้เรียนรู้ รวมทั้งเปิดให้นักศึกษาจากต่างมหาวิทยาลัย และบุคคลอื่นอื่นได้มาเรียนรู้เทคโนโลยีที่เกิดขึ้นและพัฒนาในมหาวิทยาลัย โดยครั้งล่าสุดจัดขึ้นเมื่อวันที่ 26-30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
รับน้องก้าวใหม่ 
งานก้าวใหม่จัดขึ้นทุกปี ช่วงก่อนเปิดการศึกษาภาคเรียนที่ 1 จัดขึ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อแนะนำนิสิตให้รู้จักมหาวิทยาลัย รวมทั้งฝึกให้นิสิตเข้าใหม่ได้มีการปรับตัวให้เข้ากับระบบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย กิจกรรมส่วนใหญ่เน้นการละลายพฤติกรรมเข้าหากันระหว่างเพื่อน พี่ น้อง
กีฬาเฟรชชี่ 
งานกีฬาระหว่างคณะจัดขึ้นช่วงสองเดือนแรกของการเปิดเทอม 1 ระหว่างนิสิตชั้นปี 1 ของแต่ละคณะ กีฬาแต่ละชนิดถูกจัดขึ้นกระจายไปตามแต่ละที่ในมหาวิทยาลัย รวมทั้ง สนามกีฬาในร่ม และสนามกีฬาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือที่เรียกกันติดปากในหมู่นิสิตว่า "สนามจุ๊บ"
กีฬา 5 หมอ 
งานกีฬาเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างคณะทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ ได้แก่ คณะแพทยศาสตร์ คณะทันตแพทยศาสตร์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ และคณะสหเวชศาสตร์
ซียู อินเตอร์ เกม 
งานกีฬาเชื่อมความสัมพันธ์ของนิสิตระดับปริญญาตรี หลักสูตรนานาชาติและหลักสูตรภาษาอังกฤษ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้แก่ หลักสูตร BBA คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี, หลักสูตร EBA คณะเศรษฐศาสตร์, หลักสูตรภาษาอังกฤษ คณะนิเทศศาสตร์ (COMM'ARTS), หลักสูตร ISE คณะวิศวกรรมศาสตร์, หลักสูตร BSAC คณะวิทยาศาสตร์, หลักสูตร INDA คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์,และ หลักสูตร BALAC คณะอักษรศาสตร์

นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมระหว่างมหาวิทยาลัยที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ร่วม ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการแข่งขันกีฬาระหว่างมหาวิทยาลัย ได้แก่ งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ รักบี้ประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ที่จัดขึ้นทุกปีในช่วงเดือนมกราคม, คอนเสิร์ตประสานเสียงสามสถาบัน จุฬาฯ เกษตรศาสตร์ ธรรมศาสตร์ (CKT) รวมถึงกิจกรรมที่แต่ละคณะได้จัดการแข่งขันกับคณะเดียวกันในมหาวิทยาลัยอื่น เช่น เกียร์เกมส์,กีฬาสามเส้า, อะตอมเกมส์, กีฬาเข็มสัมพันธ์, กีฬาเภสัชสัมพันธ์, กีฬาสิงห์สัมพันธ์, กีฬา 9 กล้อง, กีฬาเศรษฐสัมพันธ์, งานจ๊ะเอ๋ลูกนก, ไม้เรียวเกมส์, วิทยาศาสตร์การกีฬาสัมพันธ์, ไตรอาร์ทส์, กีฬาเปิดกระป๋อง (วิทยาศาสตร์อาหาร) เป็นต้น

ดูเพิ่มเติม กิจกรรมระหว่างมหาวิทยาลัยในประเทศไทย

[แก้] การพักอาศัยของนิสิตจุฬาฯ

การพักอาศัยของนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยพัก มีลักษณะคล้ายกับนิสิตนักศึกษาอื่นในกรุงเทพฯ โดยคนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพหรือเขตปริมณฑล หรือมีญาติพี่น้องอยู่แถบนั้น ก็จะพักอาศัยตามบ้านหรือบ้านคนรู้จัก สำหรับนิสิตที่มาจากต่างจังหวัดจะพักอาศัยในหอพักมหาวิทยาลัย ไม่ก็เช่าหอพักเอกชนร่วมกับเพื่อนนอกมหาวิทยาลัย

การพักอาศัยในหอพักมหาวิทยาลัยนั้น จำเป็นต้องมีการสมัครล่วงหน้าและมีการตรวจสอบประวัติ เนื่องจากหอพักมีจำนวนจำกัดและราคาที่ถูกกว่าหอพักภายนอก ซึ่งหอพักมหาวิทยาลัยนี้เรียกกันว่า "ซีมะโด่ง" โดยหอจะแบ่งออกเป็น หอพักหญิง 3 หอ ได้แก่ หอพุดตาน (หอสูงสีน้ำตาล 14 ชั้น) หอพุดซ้อน (หอสูงสีขาวที่ปรับปรุงเสร็จล่าสุด) หอชวนชม (อาคาร 3 ชั้นสีเขียว อยู่ใกล้ประตูทางเข้าหอพักที่สุด) และ หอพักชาย 2 หอ ได้แก่ หอจำปี (อาคารสูงสีขาว 14 ชั้น) และหอพักจำปา (อยู่ถัดจากหอจำปี สูง 5 ชั้น เดิมชื่อ เป็นหอพักหญิงชื่อว่า หอเฟื่องฟ้า แต่ถ้าย้อนไปในอดีตตั้งแต่ต้น หอนี้เคยเป็นหอชายก่อนหน้าที่จะมาเป็นหอหญิง) นอกจากนี้ ยังมีหอพักพวงชมพู หรือเรียกอีกอย่างหนึ่ง คือ หอ U-center ตั้งอยู่บริเวณหลังสามย่าน สร้างเสร็จในปี 2546

[แก้] พิธีพระราชทานปริญญาบัตร

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานปริญญาบัตรแด่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เมื่อปี พ.ศ. 2519

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจัดให้มีพิธีพระราชทานปริญญาบัตรขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2473 ณ ตึกบัญชาการ หรือ ตึกมหาจุฬาลงกรณ์ ในปัจจุบัน โดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี พระราชทานปริญญาแก่เวชบัณฑิตหรือแพทยศาสตรบัณฑิตของมหาวิทยาลัย ซึ่งนับได้ว่าเป็นพิธีพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกของประเทศไทย ในการนี้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังได้ทูลเกล้าฯ ถวายฉลองพระองค์ครุยบัณฑิตพิเศษแด่ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วย[28][29]

หลังจากนั้น ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานปริญญาบัตร ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2489 ซึ่งเป็นการเสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยครั้งแรกและครั้งเดียวของพระองค์[30]

ต่อมา ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระองค์เสด็จพระราชดำเนินมาในการพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2493[31] และได้เสด็จพระราชดำเนินในการพิธีพระราชทานปริญญาบัตรด้วยพระองค์เองเรื่อยมา อย่างไรก็ตาม ในบางปีนั้นพระองค์จะเสด็จพระราชดำเนินพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตในระดับปริญญาตรีด้วยพระองค์เอง ส่วนมหาบัณฑิตและดุษฎีบัณฑิตนั้นจะเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรต่อหน้าพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครุยพระบรมราชูปถัมภกแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย[32]

ปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ในการพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิต มหาบัณฑิต และดุษฎีบัณฑิตของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นประจำทุกปี

[แก้] วันสำคัญที่เกี่ยวกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

พิธีถวายบังคมของนิสิตเนื่องในวันปิยมหาราช
วันคล้ายวันสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 
ตรงกับวันที่ 26 มีนาคม ของทุกปี โดยมีกิจกรรมต่อเนื่องกันหลายวัน เช่น พิธีบำเพ็ญกุศลน้อมเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ตลอดจนบูรพาจารย์และผู้มีอุปการคุณแก่มหาวิทยาลัย, พิธีตักบาตรในตอนเช้าวันที่ 26 มีนาคม, พิธีถวายชัยมงคลแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ 2 เมษายน, การแสดงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์, งานคืนเหย้าของนิสิตเก่าจุฬาฯ ณ ลานหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระปิยมหาราชและสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า ฯลฯ
วันอานันทมหิดล 
วันคล้ายวันเสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร "พระผู้พระราชทานกำเนิดคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" ซึ่งตรงกับวันที่ 9 มิถุนายน ของทุกปี คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ จึงจัดงานขึ้นด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์
วันภาษาไทยแห่งชาติ 
ถือกำเนิดจากคณะกรรมการรณรงค์เพื่อภาษาไทยแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เสนอต่อรัฐบาลให้กำหนดวันที่ 29 กรกฎาคม ของทุกปี เป็น "วันภาษาไทยแห่งชาติ"[33]
วันทรงดนตรี 
เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมาทรงดนตรี และทรงสังสรรค์ร่วมกับนิสิตเป็นการส่วนพระองค์ในระหว่างปี 2500-2516 โดยจุฬาฯ จัดงานวันที่ระลึกวันทรงดนตรีขึ้น ในวันที่ 20 กันยายน เป็นประจำทุกปี
วันปิยมหาราช 
ตรงกับวันที่ 23 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว "พระผู้พระราชทานกำเนิดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" ซึ่งคณะผู้บริหารและนิสิต จุฬาฯ จะเข้าร่วมถวายบังคมที่พระบรมรูปทรงม้า รวมทั้งจัดพิธีบำเพ็ญกุศลน้อมเกล้าฯ ถวาย และจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณต่อพระองค์ อาทิ งานปิยมหาราชานุสรณ์ หารายได้สมทบเป็นทุนการศึกษาแก่นิสิต เป็นประจำทุกปี
วันมหาธีรราชเจ้า 
ตรงกับวันที่ 25 พฤศจิกายน โดยเป็นวันที่ระลึกวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว[34] "พระผู้ทรงสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" โดยในวันนี้ คณะผู้บริหารและนิสิตจุฬาฯ จะเข้าร่วมถวายบังคม ณ ลานหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 6 บริเวณสวนลุมพินี รวมทั้งจัดพิธีบำเพ็ญกุศลน้อมเกล้าฯ ถวาย และจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณต่อพระองค์ อาทิ งานมหาธีรราชเจ้าคอนเสิร์ต ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นประจำทุกปี

[แก้] การเดินทาง

นิสิตสามารถเดินทางมาจุฬาฯ ได้หลายเส้นทางทั้งทางรถยนต์ รถเมล์ รถไฟฟ้า (สถานีสยาม) และ รถไฟใต้ดิน (สถานีสามย่าน)

สำหรับการเดินทางในมหาวิทยาลัย มีรถโดยสารภายในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้บริการ 3 สาย ครอบคลุมส่วนต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยทั้งหมด ได้แก่

ที่จอดรถโดยสารจุฬาฯ หน้าศาลาพระเกี้ยว
สายที่ 1 ศาลาพระเกี้ยว - สยามสแควร์
ศาลาพระเกี้ยว รัฐศาสตร์ สัตวแพทยศาสตร์ ทันตแพทยศาสตร์ สยามสแควร์ เภสัชศาสตร์ สถาปัตยกรรมศาสตร์ ศิลปกรรมศาสตร์ อักษรศาสตร์ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิศวกรรมศาสตร์
สายที่ 2 ศาลาพระเกี้ยว - ศศินทร์
ศาลาพระเกี้ยว เศรษฐศาสตร์ อาคารจุลจักรพงษ์ คณะวิทยาศาสตร์ สำนักอธิการบดี ครุศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย โรงเรียนสาธิตจุฬาฯ (ฝ่ายประถม) สถาบันวิทยบริการ ศูนย์กีฬาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หอพักนิสิต หอพักศศนิเวศ อาคารวิทยาพัฒนา สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ วิทยาลัยปิโตรเลียมและเคมี สำนักวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา
สายที่ 4 จามจุรี 9 - สยามสแควร์ 
อาคารจามจุรี 9 U-CENTER สามย่าน นิติศาสตร์ สถาปัตยกรรมศาสตร์ ศิลปกรรมศาสตร์ อักษรศาสตร์ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิศวกรรมศาสตร์ ศาลาพระเกี้ยว รัฐศาสตร์ สัตวแพทยศาสตร์ ทันตแพทยศาสตร์ สยามสแควร์ เภสัชศาสตร์ ครุศาสตร์ โรงเรียนสาธิตฯฝ่ายประถม สนามกีฬาจุฬาลงกรณ์ โรงเรียนสาธิตฯฝ่ายมัธยม

[แก้] บุคคลสำคัญจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ดูบทความหลักที่ รายนามบุคคลจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

บุคคลที่เกี่ยวข้องกับจุฬาลงกรณ์รวมถึงคณาจารย์และศิษย์เก่า มีหลากหลายซึ่งรวมถึงบุคคลสำคัญในด้านการเมืองการปกครอง เช่น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ นอกจากนี้ ยังมี ผู้ได้รับรางวัลแมกไซไซ 3 คน นักเขียนผู้ได้รับรางวัลซีไรต์ 3 คน นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ (2528-2548) อีก 48 คน นักวิทยาศาสตร์ดีเด่น 11 คน (2525-2549) ศิลปินแห่งชาติ 13 คน (2528-2549) รวมถึงเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ นักแสดง นักดนตรีของประเทศไทยอีกหลายคน

[แก้] การเป็นสถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐบาล

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เป็นสถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐ สมบูรณ์อย่างเป็นทางการ เมื่อ พระราชบัญญัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2551 ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 125 ตอนที่ 29 ก เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 โดย นายกรัฐมนตรี พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ จากนี้สถานภาพของพนักงานมหาวิทยาลัยจะได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ และข้าราชการมีสิทธิที่จะขอเปลี่ยนสภาพเป็นพนักงานได้ ภายในระยะเวลา 90 วัน และ ไม่เกิน 4 ปี และจากนี้ไปจะไม่มีข้าราชการเพิ่มขึ้นอีก ตามที่กำหนดไว้ใน มาตรา 78 ของพระราชบัญญัติฯ [35] ดังนี้

  • กรณีที่ 1 แสดงเจตนาเปลี่ยนสถานภาพมาเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยหรือลูกจ้างของมหาวิทยาลัย ตามพระราชบัญญัตินี้ภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้มหาวิทยาลัยดำเนินการบรรจุเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยหรือลูกจ้างของมหาวิทยาลัย แล้วแต่กรณี ในทันที
  • กรณีที่ 2 แสดงเจตนาเปลี่ยนสถานภาพมาเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยหรือลูกจ้างของมหาวิทยาลัย ตามพระราชบัญญัตินี้ภายหลังกำหนดเวลาตาม กรณีที่ 1 แต่ไม่เกินสี่ปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ เมื่อมหาวิทยาลัยได้ประเมินแล้ว เห็นว่ามีความรู้ความสามารถตามหลักเกณฑ์ที่มหาวิทยาลัยกำหนดให้บรรจุเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยหรือลูกจ้างของมหาวิทยาลัยได้โดยไม่ต้องทดลองปฏิบัติงาน

การนำจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยออกนอกระบบ หรือเป็นสถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐบาลนั้น เป็นประเด็นขัดแย้ง มีการล่ารายชื่อคัดค้าน [36][37] จนกระทั่ง วาระสุดท้ายของการพิจารณาในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่สภาคณาจารย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย[38][39] ร่วมกับ ผศ.นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ในฐานะกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คัดค้าน สนช. ในการผ่านร่าง พ.ร.บ. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ....[40] อย่างเร่งรีบโดยไม่ฟังเสียงประชาคมจุฬาฯ[41][42][43] ในที่สุดวันที่ 19 ธันวาคม 2550 ร่าง พรบ. ฉบับนี้ได้ผ่านการพิจารณาของ สนช.หลังพิจารณา ในวาระ 2 เรียงตามมาตรา ที่ประชุม สนช.มีมติในวาระที่ 3 ประกาศใช้ร่าง พ.ร.บ.จุฬาฯ เป็นกฎหมาย ด้วยมติ 134-6 เสียง (งดออกเสียง 4 เสียง) [44] ใช้เวลาทั้งสิ้น 2 ชัวโมง ทำให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปลี่ยนสถานะจากมหาวิทยาลัย "ของรัฐ" เป็นมหาวิทยาลัย "ในกำกับ" ของรัฐ เป็นมหาวิทยาลัยที่ 13 ของประเทศ ตามลำดับดังนี้ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี, มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี, มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยมหิดล, มหาวิทยาลัยบูรพา, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ, มหาวิทยาลัยทักษิณ, สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง, และ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

วันที่ 21 ธันวาคม 2550 เวลา 13.30 น. น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พล.อ. ปานเทพ ภูวนารถนุรักษ์, พล.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน, และนายไพศาล พืชมงคล สนช.ได้ร่วมกันแถลงข่าวถึงกรณีที่ สนช.27 คน เข้าชื่อส่งให้นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน สนช.ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีร่าง พ.ร.บ.จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีข้อความที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ปี 2550 และตราขึ้นมาโดยไม่ถูกต้อง เนื่องจากมีบทบัญญัติหลายมาตราที่มีข้อความและเนื้อหาที่ขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญหลายมาตรา และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสร้างขึ้นมาด้วยปณิธานที่ว่าจะจัดการศึกษาให้กับพสกนิกรไทย แต่การยกร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้มีลักษณะฉ้อฉลปล้นทรัพย์แผ่นดิน เพื่อให้คณะบุคคลเอาไปใช้สอยและเป็นการทำลายพระราชปณิธานแห่งการสถาปนาจุฬาฯ เพื่อเอาไปใช้ประโยชน์หรือตอบสนองประโยชน์สำหรับการศึกษาขั้นสูงสำหรับผู้มีรายได้ และฐานะอันสูงไม่เป็นประโยชน์ต่อพสกนิกร การตรากฎหมายในลักษณะนี้จึงไม่ใช่วิธีทางแห่งรัฐธรรมนูญที่ต้องการความเสมอภาค เสรีภาพ และการรักษาผลประโยชน์ของชาติ [45] อย่างไรก็ตาม ทางมหาวิทยาลัยได้แถลงว่าผู้ที่สามารถสอบเข้าเรียนในจุฬาฯ ได้ในหลักสูตรปกตินั้นจะได้เรียนจนจบในระดับปริญญาตรี เนื่องจากมหาวิทยาลัยเตรียมทุนการศึกษาไว้ปีละมากกว่าหนึ่งร้อยล้านบาท ซึ่งเพียงพอแต่ผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์อย่างแน่นอน และถ้าไม่เพียงพอทางมหาวิทยาลัยจะจัดสรรเพิ่มขึ้นอีก[46]

อีกทั้งเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม ศ.ดร.โสภณ เริงสำราญ ประธานเครือข่ายกลุ่มคัดค้านการนำจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยออกนอกระบบราชการ (คจม.) ได้เดินทางไปยื่นหนังสือต่อนายศรีราชา เจริญพานิช เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา เพื่อให้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.จุฬาฯที่ผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ว่ามีเนื้อหาและกระบวนการพิจารณาขัดและไม่ชอบกฎหมายรัฐธรรมนูญปี 2550 หรือไม่ เช่น มาตรา 16 ในร่าง พ.ร.บ.จุฬาฯว่าด้วยบุคคลสามารถยกความขึ้นเป็นข้อเรียกร้องต่อสู้ในเรื่องทรัพย์สินของมหาวิทยาลัยไม่ได้ ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 40 (2) ว่าด้วยเรื่องสิทธิขั้นพื้นฐานในการเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพ [47] บางมาตรายังมีผลกระทบต่อสถานภาพของสถาบันการศึกษาในพระนาม “จุฬาลงกรณ์” อย่างร้ายแรง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานที่ดินอันเป็นที่พระราชทรัพย์แก่จุฬาฯ ให้เป็นที่ตั้งทำการและหาประโยชน์เพียงเพื่อจรรโลงการศึกษา มิใช่มุ่งหวังให้แสวงผลประโยชน์ทางธุรกิจและการค้าเป็นสำคัญ แต่ร่าง พ.ร.บ.จุฬาฯ จะมีผลทำให้จุฬาฯ เปลี่ยนแปลงไปเป็นสถาบันการศึกษาที่มีวัตถุประสงค์ดำเนินการทางธุรกิจการค้าควบคู่กับการศึกษา โดยอาศัยที่ดินพระราชทานเป็นเครื่องแสวงผลประโยชน์ มาตราบางมาตราในร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ มีบทบัญญัติรองรับให้จุฬาฯ สามารถลงทุน ร่วมลงทุนร่วมกับบุคคลอื่นตั้งนิติบุคคล รวมทั้งกู้ยืม ฯ ซึ่งเป็นภาวะเสี่ยงอย่างยิ่ง [48] อย่างไรก็ตาม ทางมหาวิทยาลัยได้ออกมาชี้แจงประเด็นเรื่องที่ดินพระราชทานว่า ภายใต้ร่างกฎหมายฉบับนี้จะไม่สามารถนำไปขายได้เด็ดขาด[46][49]

[แก้] อ้างอิง

  1. ^ ประวัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  2. ^ จุฬาฯ สร้างชื่อเสียงติดอันดับ ๑๒๑ มหาวิทยาลัยชั้นนำโลก จากการจัดอันดับโดย The Times Higher Education Supplement
  3. ^ 3.0 3.1 สรุปผลการประเมินคุณภาพนอก
  4. ^ 4.0 4.1 หลักสูตรจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, หน้า 8-12
  5. ^ พระบรมราชโองการประกาศตั้งโรงเรียนมหาดเล็ก
  6. ^ พระบรมราชโองการประกาศตั้งโรงเรียนข้าราชการพลเรือน ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
  7. ^ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศกระแสพระบรมราชโองการ บรรจุในศิลาพระฤกษ์โรงเรียนข้าราชการพลเรือน ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, เล่ม ๓๒, ตอน ๐ง, ๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๘, หน้า ๒๕๖๒
  8. ^ สวัสดิ์ จงกล,จุฬาสาระ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, หอประวัติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  9. ^ พระบรมราชโองการประดิษฐานโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  10. ^ ตามรอยโบราณ "ค้นคว้าอักขระโบราณ" ตัวหนังสือไทย ตอน ๒
  11. ^ พระราชบัญญัติ จุลาลงกรน์มหาวิทยาลัย พุทธสักราช2486
  12. ^ พระราชบัญญัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๒๒
  13. ^ ประวัติพระเกี้ยว
  14. ^ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย : เพลงมหาจุฬาลงกรณ์
  15. ^ พระราชกำหนดเสื้อครุยบัณฑิตของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พุทธศักราช ๒๔๗๓
  16. ^ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย : เสื้อครุยพระราชทาน
  17. ^ รายละเอียดต้นจามจุรี
  18. ^ รายละเอียดสีชมพูจุฬา
  19. ^ รายนามผู้บัญชาการ และอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  20. ^ 20.0 20.1 ประกาศจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรื่อง ส่วนงานของมหาวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๕๑
  21. ^ 21.0 21.1 งานวิจัยของปีงบประมาณปี 2549
  22. ^ THES-QS University Rankings : Chulalongkorn University
  23. ^ Asian University Rankings
  24. ^ แผนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  25. ^ รางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่น : ตึกอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  26. ^ รางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่น : เรือนภะรตราชา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  27. ^ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย : เรือนภะรตราชา
  28. ^ พิธีพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกแห่งกรุงสยาม
  29. ^ พระบรมราโชวาท ในการพระราชทานประกาศนียบัตรแก่เวชบัณฑิตของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ ๒๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๗๓
  30. ^ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย : พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล
  31. ^ พิธีพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
  32. ^ ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของพิธีพระราชทานปริญญาบัตรดุษฎีบัณฑิต และมหาบัณฑิตแห่งจุฬาฯ ปีการศึกษา 2540
  33. ^ การจัดตั้งวันภาษาไทยแห่งชาติ
  34. ^ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์กำหนดให้วันที่ 25 พฤศจิกายน เป็นวันเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องจากทรงเสด็จสวรรคตเมื่อเวลาประมาณ 1 นาฬิกา 45 นาที ซึ่งผ่านวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 มาไม่กี่นาที และทรงกำหนดให้วันที่ 26 พฤศจิกายน เป็นวันเถลิงถวัลยราชสมบัติของพระองค์ จาก โฮมเพจเพื่อเผยแพร่พระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
  35. ^ พระราชบัญญัติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๕๑ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.ให้ไว้ ณ วันที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๑ [1]
  36. ^ ผู้จัดการรายวัน “คุณหญิงจารุวรรณ” นำทัพค้านจุฬาฯ ออกนอกระบบ21 พฤศจิกายน 2550 22:56 น
  37. ^ หนังสือพิมพ์ข่าวสดรายวันประชาคมจุฬาฯ-กราบทูลพระเทพฯวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 17 ฉบับที่ 6228
  38. ^ ข่าวสภาคณาจารย์ เรื่องการออกนอกระบบ ฉบับที่ 14, ฉบับที่ 16, สำเนาหนังสือฯ, ฉบับที่ 17, ฉบับที่ 18, ฉบับที่ 19, แถลงการณ์จากสภามหาวิทยาลัยฯ
  39. ^ สำนักงานสารนิเทศ จุฬาฯ คำชี้แจงของจุฬาฯกรณีผู้คัดค้านร่าง พรบ.ฯ
  40. ^ ร่าง พรบ.จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ....จากเว็บไซต์จุฬาฯ
  41. ^ หนังสือพิมพ์เดลินิวส์. ประชาคมจุฬาฯยื่น สนช.ค้านออกนอกระบบ. วันพุธที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2550
  42. ^ บทบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์แทบลอยด์ เรื่องปก 'ถอนร่างออก' นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ 17 ธันวาคม 2549
  43. ^ ณศักต์ อัจจิมาธร, หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์. ผ่าความคิด 'นพ. ตุลย์ สิทธิสมวงศ์' หัวหอกต้าน 'จุฬาฯ' ออกนอกระบบวันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2550
  44. ^ หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน สนช.ผ่านร่างพ.ร.บ."จุฬาฯ-มช.-สจล." วาระ2-3หลังลุยพิจารณากม.ในกำกับ, "สนช."ผ่านฉลุยกม.3มหา"ลัย จุฬาฯ-เชียงใหม่-ลาดกระบังวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10876
  45. ^ ผู้จัดการออนไลน์ 27 สนช.เข้าชื่อส่งศาล รธน.ตีความ จุฬาฯ ออกนอกระบบขัด กม.21 ธันวาคม 2550 19:56 น.
  46. ^ 46.0 46.1 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับพระราชบัญญัติจุฬาฯ พ.ศ. ...., จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  47. ^ หนังสือพิมพ์ มติชน ยื่นตีความร่างกม.จุฬาฯผ่านผู้ตรวจฯวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10885
  48. ^ ผู้จัดการออนไลน์ ยื่นผู้ตรวจการแผ่นดิน “หยุด” จุฬาฯ ออกนอกระบบ ชำแหละยับขัด-ไม่ชอบด้วยรธน.28 ธันวาคม 2550 18:53 น.
  49. ^ ความจริงเมื่อจุฬาฯ เปลี่ยนเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ, จุฬาลงกรณ์มหาวทยาลัย

[แก้] ดูเพิ่ม

[แก้] แหล่งข้อมูลอื่น

Commons

พิกัดภูมิศาสตร์: 13°44′18″N 100°31′57″E / 13.73826°N 100.532413°E / 13.73826; 100.532413