ประเทศออสเตรเลีย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

Commonwealth of Australia
เครือรัฐออสเตรเลีย
ธงชาติออสเตรเลีย ตราแผ่นดินของออสเตรเลีย
ธงชาติ ตราแผ่นดิน
คำขวัญไม่มี (เดิม Advance Australia)
เพลงชาติแอดวานซ์ออสเตรเลียแฟร์
ที่ตั้งของออสเตรเลีย
เมืองหลวง แคนเบอร์รา
35°15′S 149°28′E / 35.25°S 149.467°E / -35.25; 149.467
เมืองใหญ่สุด ซิดนีย์
ภาษาทางการ ไม่ได้กำหนด
ภาษาอังกฤษ (โดยพฤตินัย)
รัฐบาล สหพันธรัฐราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ
 -  ประมุข สมเด็จพระนางเจ้าเอลิซาเบธที่ 2
 -  ผู้สำเร็จราชการ Quentin Bryce
 -  นายกรัฐมนตรี เควิน รัดด์
เอกราช จาก สหราชอาณาจักร 
 -  รัฐธรรมนูญ 1 มกราคม พ.ศ. 2444 
 -  บทกฎหมาย เวสต์มินสเตอร์ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2474 (ประกาศใช้ 3 กันยายน พ.ศ. 2482
 -  พระราชบัญญัติ ออสเตรเลีย 3 มีนาคม พ.ศ. 2529 
เนื้อที่
 -  ทั้งหมด 7,686,850 กม.² (ลำดับที่ 6)
 -  พื้นน้ำ (%) 1
ประชากร
 -  2550 ประมาณ 20,948,900[1] (อันดับที่ 53)
 -  2544 สำรวจ 18,972,350 
 -  ความหนาแน่น 2.65/กม.² (อันดับที่ 217)
GDP (PPP) 2548 ประมาณ
 -  รวม 630.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (อันดับที่ 17)
 -  ต่อประชากร 30,897 ดอลลาร์สหรัฐ (อันดับที่ 14)
HDI (2546) 0.955 (สูง) (อันดับที่ 3)
สกุลเงิน ดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD)
เขตเวลา มีหลายเขต (UTC+8–+10)
 -  ฤดูร้อน (DST) มีหลายเขต (UTC+8–+11)
รหัสอินเทอร์เน็ต .au
รหัสโทรศัพท์ +61

เครือรัฐออสเตรเลีย (อังกฤษ: Commonwealth of Australia) เป็นประเทศซึ่งประกอบด้วยแผ่นดินหลักของทวีปออสเตรเลีย เกาะแทสเมเนีย และเกาะอื่นๆในมหาสมุทรอินเดีย แปซิฟิก และมหาสมุทรใต้ ประเทศเพื่อนบ้านของออสเตรเลียประกอบด้วย อินโดนีเซีย ปาปัวนิวกินี และติมอร์ตะวันออกทางเหนือ หมู่เกาะโซโลมอน วานูอาตู และนิวแคลิโดเนียทางตะวันออกเฉียงเหนือ และนิวซีแลนด์ทางตะวันออกเฉียงใต้

ชื่อออสเตรเลีย มาจากคำในภาษาละติน ว่า australis ซึ่งหมายถึงทิศใต้ โดยมีตำนานถึง "ดินแดนทางใต้ที่ไม่รู้จัก" (ละติน: terra australis incognita) ชาวยุโรปเริ่มสำรวจค้นพบออสเตรเลียในพุทธศตวรรษที่ 22 และต่อมาจึงกลายเป็นดินแดนอาณานิคมของบริเตน โดยเริ่มต้นเป็นอาณานิคมนักโทษในนิวเซาท์เวลส์ และจึงมีการตั้งอาณานิคมขึ้นอีกห้าแห่ง อาณานิคมทั้งหกรวมตัวเป็นสหพันธรัฐในปีพ.ศ. 2444 ออสเตรเลียมีชนพื้นเมืองซึ่งอาศัยตั้งแต่ก่อนชาวยุโรปเข้ามา เรียกว่าชาวอะบอริจิน

เนื้อหา

[แก้] ประวัติศาสตร์

ชนพื้นเมืองในออสเตรเลียก่อนการตั้งถิ่นฐานของชาวยุโรป คือชาวอะบอริจิน และชาวเกาะทอร์เรสสเทรต ซึ่งชนเหล่านี้มีภาษาแตกต่างกันนับร้อยภาษา[2] ประมาณการว่า มีชาวอะบอริจินมากกว่า 780,000 คนอยู่ในออสเตรเลียในปีพ.ศ. 2331[3]

การค้นพบออสเตรเลียของชาวยุโรปครั้งแรกที่มีการบันทึกไว้ เกิดขึ้นในปีพ.ศ. 2149 เป็นเรือของชาวดัตช์ โดยกัปตัน Willem Janszoon ทำแผนที่ชายฝั่งส่วนหนึ่งของออสเตรเลีย ระหว่างปีพ.ศ. 2149 และ 2313 มีเรือของชาวยุโรปประมาณ 54 ลำจากหลายชาติเดินทางมาที่ออสเตรเลีย ซึ่งรู้จักในขณะนั้นว่านิวฮอลแลนด์[4] ในปีพ.ศ. 2313 เจมส์ คุก เดินทางมาสำรวจออสเตรเลียและทำแผนที่ชายฝั่งตะวันออกของออสเตรเลีย และได้ประกาศให้เป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักร ให้ชื่อว่านิวเซาท์เวลส์ ต่อมาสหราชอาณาจักรใช้ออสเตรเลียเป็นอาณานิคมสำหรับนักโทษ (penal colony) [4] ฝูงเรือแรกเดินทางมาถึงออสเตรเลียที่อ่าวซิดนีย์ในปีพ.ศ. 2330 ในวันที่ 26 มกราคม (ค.ศ. 1788) ซึ่งต่อมาเป็นวันออสเตรเลีย ผู้ตั้งถิ่นฐานยุคแรกส่วนใหญ่เป็นนักโทษและครอบครัวของทหาร โดยมีผู้อพยพเสรีเริ่มเข้ามาในปีพ.ศ. 2336 มีการตั้งถิ่นฐานบนเกาะแทสเมเนีย หรือชื่อในขณะนั้นคือฟานไดเมนส์แลนด์ ในปีพ.ศ. 2346 และตั้งเป็นอาณานิคมแยกอีกแห่งหนึ่งในปีพ.ศ. 2368 สหราชอาณาจักรประกาศสิทธิในฝั่งตะวันตกในปีพ.ศ. 2372 และเริ่มมีการตั้งอาณานิคมแยกขึ้นมาอีกหลายแห่ง ได้แก่เซาท์ออสเตรเลีย วิกตอเรีย และควีนส์แลนด์ โดยแยกออกมาจากนิวเซาท์เวลส์ เซาท์ออสเตรเลียไม่เคยเป็นอาณานิคมนักโทษ[4] ในขณะที่วิกตอเรียและเวสเทิร์นออสเตรเลียยอมรับการขนส่งนักโทษภายหลัง[5][6] เรือนักโทษลำสุดท้ายมาถึงนิวเซาท์เวลส์ในปีพ.ศ. 2391 หลังจากการรณรงค์ยกเลิกโดยกลุ่มผู้ตั้งถิ่นฐาน[7] การขนส่งนักโทษยุติอย่างเป็นทางการในปีพ.ศ. 2396 ในนิวเซาท์เวลส์และแทสเมเนีย และปีพ.ศ. 2411 ในเวสเทิร์นออสเตรเลีย[5]

ปีพ.ศ. 2394 เอดเวิร์ด ฮาร์กรีฟส์ ค้นพบสายแร่ทอง ในที่ๆเขาตั้งชื่อว่าโอฟีร์ (Ophir) ในนิวเซาท์เวลส์ ทำให้เกิดยุคตื่นทอง นำคนจำนวนมากเดินทางมาออสเตรเลีย[8] ในปีพ.ศ. 2444 หกอาณานิคมในออสเตรเลียรวมตัวกันเป็นสหพันธรัฐ ในชื่อเครือรัฐออสเตรเลีย (Commonwealth of Australia) ประกอบด้วยรัฐนิวเซาท์เวลส์ รัฐวิกตอเรีย รัฐควีนส์แลนด์ รัฐเซาท์ออสเตรเลีย รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย และรัฐแทสเมเนีย รวมหกรัฐเข้าอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญหนึ่งเดียว เฟเดอรัลแคพิทัลเทร์ริทอรีก่อตั้งขึ้นในปีพ.ศ. 2454 เป็นเมืองหลวงของสหพันธรัฐ จากส่วนหนึ่งของรัฐนิวเซาท์เวลส์ บริเวณแยส-แคนเบอร์รา และเริ่มดำเนินงานรัฐสภาในแคนเบอร์ราในปีพ.ศ. 2470[9] ในปีพ.ศ. 2454 นอร์เทิร์นเทร์ริทอรี แยกตัวออกมาจากเซาท์ออสเตรเลีย และเข้าเป็นดินแดนในกำกับของสหพันธ์ ออสเตรเลียสมัครใจเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยมีอาสาสมัครเข้าร่วมถึง 60,000 คนจากประชากรชายน้อยกว่าสามล้านคน[2]

ออสเตรเลียประกาศใช้บทกฎหมายเวสต์มินสเตอร์ คริสต์ศักราช 1931 (พ.ศ. 2474) ในปีพ.ศ. 2485 โดยมีผลบังคับใช้ย้อนไปตั้งแต่ 3 กันยายน พ.ศ. 2482[10] ซึ่งเป็นการยุติบทบาทนิติบัญญัติของสหราชอาณาจักรในออสเตรเลียเกือบทั้งหมด ในสงครามโลกครั้งที่สอง ออสเตรเลียประกาศสงครามกับเยอรมนีพร้อมกับสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศส หลังจากเยอรมนีบุกโปแลนด์[11] ออสเตรเลียส่งทหารเข้าร่วมสมรภูมิในยุโรป เมดิเตอร์เรเนียน และแอฟริกาเหนือ แผ่นดินออสเตรเลียโดนโจมตีโดยตรงครั้งแรกจากการเข้าตีโฉบฉวยทางอากาศของญี่ปุ่นที่ดาร์วิน[12] ออสเตรเลียยุตินโยบายออสเตรเลียขาว โดยดำเนินการขั้นสุดท้ายในปีพ.ศ. 2516[13] พระราชบัญญัติออสเตรเลีย คริสต์ศักราช 1986 (พ.ศ. 2529) ยกเลิกบทบาทของสหราชอาณาจักรในอำนาจนิติบัญญัติและตุลาการของออสเตรเลียโดยสิ้นเชิง ในปีพ.ศ. 2542 ออสเตรเลียจัดการลงประชามติ ว่าจะให้ประเทศเป็นสาธารณรัฐ มีประธานาธิบดีแต่งตั้งจากรัฐสภาหรือไม่ ซึ่งคะแนนเสียงเกือบ 55% ลงคะแนนปฏิเสธ[14]

[แก้] การเมืองการปกครอง

ออสเตรเลียมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา มีรูปแบบรัฐบาลเป็นสหพันธรัฐ และระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ประมุขแห่งรัฐของออสเตรเลียคือสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 ซึ่งพระองค์ปัจจุบันคือสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 พระอิสริยยศในออสเตรเลียคือ Elizabeth the Second, by the Grace of God Queen of Australia and Her other Realms and Territories, Head of the Commonwealth[15]

ตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ (แม่แบบ:Governor-general) เป็นผู้แทนพระองค์ในออสเตรเลียของพระประมุขซึ่งประทับอยู่ในสหราชอาณาจักร รัฐธรรมนูญของออสเตรเลียระบุว่า "อำนาจบริหารเป็นของสมเด็จพระราชินี และทรงใช้อำนาจนั้นผ่านผู้สำเร็จราชการในฐานะผู้แทนพระองค์ของสมเด็จพระราชินี"[16] อำนาจของผู้สำเร็จราชการนั้นรวมถึงการแต่งตั้งรัฐมนตรีและผู้พิพากษา การยุบสภา และการลงนามบังคับใช้กฎหมาย ผู้สำเร็จราชการคนปัจจุบันคือพลตรีไมเคิล เจฟเฟอรี ผู้สำเร็จราชการยังดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดด้วย[16] ในทางธรรมเนียมปฏิบัตินั้น ผู้สำเร็จราชการจะใช้อำนาจตามคำแนะนำของรัฐมนตรี[17] สภาบริหารสหพันธรัฐ (Federal Executive Council) เป็นองค์กรที่ทำหน้าที่ให้คำแนะนำแก่ผู้สำเร็จราชการ โดยมีผู้สำเร็จราชการเป็นประธานการประชุม และรัฐมนตรีทุกคนมีสมาชิกภาพตลอดชีพ แต่ในทางปฏิบัติจะเรียกประชุมเฉพาะรัฐมนตรีคณะปัจจุบัน[18] รัฐบาลจะมาจากพรรคที่ได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร

ออสเตรเลียมีรัฐสภาเก้าแห่ง หนึ่งสภาของสหพันธ์ หกสภาของแต่ละรัฐ และสองสภาของแต่ละดินแดน รัฐสภาของสหพันธ์ ใช้ระบบสองสภา ประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎร (House of Representative) และวุฒิสภา (Senate) สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิก 150 คน มาจากการเลือกตั้ง โดยแบ่งเป็นเขตเลือกตั้ง มีผู้แทนเขตละหนึ่งคน วุฒิสภามีสมาชิก 76 คน มาจากแต่ละรัฐ รัฐละ 12 คน และจากดินแดน (เขตเมืองหลวงและนอร์เทิร์นเทร์ริทอรี) ละสองคน[19] ทั้งสองสภาจัดการเลือกตั้งทุกสามปี สมาชิกวุฒิสภามีวาระ 6 ปี โดยการเลือกตั้งแต่ละครั้งจะเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมด

ออสเตรเลียมีพรรคการเมืองหลักสามพรรค ได้แก่พรรคแรงงานออสเตรเลีย พรรคเสรีนิยม และพรรคชาติ ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2465 รัฐบาลของสหพันธ์มาจากพรรคแรงงานหรือเป็นรัฐบาลผสมของพรรคเสรีนิยมและพรรคชาติ[20] ปัจจุบันนายกรัฐมนตรีเควิน รัดด์ มาจากพรรคแรงงาน พรรคอื่นๆที่มีบทบาทได้แก่ออสเตรเลียนเดโมแครต และออสเตรเลียนกรีนส์ โดยมักได้ที่นั่งในวุฒิสภา

อาคารรัฐสภาในแคนเบอร์รา เปิดใช้แทนอาคารหลังเดิมในปีพ.ศ. 2531

[แก้] รัฐและดินแดน

แผนที่รัฐและดินแดนของออสเตรเลีย

ออสเตรเลียแบ่งออกเป็น 6 รัฐ ได้แก่

นอกจากนี้ยังมีดินแดนหลักๆบนแผ่นดินใหญ่ 2 แห่ง ได้แก่ นอร์เทิร์นเทร์ริทอรี และออสเตรเลียนแคพิทอลเทร์ริทอรี (เขตเมืองหลวง) และดินแดนเล็กน้อยอื่นๆ โดยส่วนใหญ่แล้ว ดินแดนนั้นมีลักษณะเดียวกับรัฐ แต่รัฐสภากลางสามารถค้านกฎหมายใดก็ได้จากสภาของดินแดน [21]ในขณะที่ในระดับรัฐ กฎหมายสหพันธ์จะค้านกับกฎหมายรัฐได้เพียงในบางด้านตามมาตรา 51 ของรัฐธรรมนูญ อำนาจนิติบัญญัติอื่นๆนั้นเป็นของรัฐสภาของแต่ละรัฐ

แต่ละรัฐและดินแดนมีสภานิติบัญญัติของตัวเอง โดยในควีนสแลนด์และดินแดนทั้งสองแห่งเป็นลักษณะสภาเดี่ยว ในขณะที่ในรัฐที่เหลือเป็นแบบสภาคู่ สมเด็จพระราชินีมีผู้แทนพระองค์ในแต่ละรัฐ เรียกว่า governor และในนอร์เทิร์นเทอร์ริทอรี administrator ส่วนในเขตเมืองหลวง ใช้ผู้แทนพระองค์ของเครือรัฐ (governor-general)

[แก้] ภูมิศาสตร์

ออสเตรเลียมีลักษณะภูมิประเทศโดยทั่วไปร้อยละ 65 เป็นที่ราบสูง และตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทะเลทรายที่แห้งแล้งและทุรกันดาร และมีขนาดทะเลทรายรวมกันใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากทะเลทรายสะฮาราในทวีปแอฟริกา ชาวออสเตรเลียเรียกดินแดนที่แห้งแล้งและทุรกันดารนี้ว่า "เอาต์แบ็ก" ประชากรออสเตรเลียส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในบริเวณชายฝั่งด้านตะวันออกหลังเทือกเขาเกรตดิไวดิง ซึ่งแบ่งแยกชายฝั่งตะวันออกกับเขตเอาต์แบ็ก มีแม่น้ำสายสำคัญ ๆ อยู่ทางภูมิภาคตะวันออก ได้แก่ แม่น้ำดาร์ลิง แม่น้ำเมอร์เรย์ ส่วนตอนกลางของประเทศที่เรียกว่า "เขตเซนทรัลโลว์แลนด์" เป็นเขตแห้งแล้งที่สุด แม่น้ำลำธารต่าง ๆ อาจแห้งสนิทเป็นเวลาหลายปี เนื่องจาก ทวีป ออสเตรเลียมีสภาพเป็นเกาะทำให้ มีสิ่งมีชวิตที่มีลักษณะเฉพาะเป็นของตนเอง เนื่องจากสิ่งมีชีวิตพวกนี้ได้มีวิวัฒนาการเป็นอิสระจากสิ่งมีชีวิตบนแผ่นดินใหญ่ โดยเฉพาะสัตว์ที่มีกระเป๋าหน้าท้อง เช่น จิงโจ้

[แก้] ประชากร

ประเทศออสเตรเลียมีประชากรประมาณ​ 21​ ล้านคน[1] ​ส่วนใหญ่สืบเชื้อสายมาจากชาวยุโรปที่มาตั้งรกรากในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 และ 20 หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองจนถึงปี​พ.ศ. 2543 มีผู้อพยพใหม่เข้ามาถึง 5.9​ ล้านคน​ทำให้ประชากรเกือบสองในเจ็ดของออสเตรเลียเกิดในต่างประเทศ[22]​หลังจากการเลิกนโยบายออสเตรเลียขาวในปี​พ.ศ. 2516 รัฐบาลออสเตรเลียได้พยายามส่งเสริมความสามัคคีระหว่างเชื้อสายต่าง ๆ​บนพื้นฐานของพหุวัฒนธรรม[23] ในช่วงปี​พ.ศ. 2548 ถึง 2549 มีผู้อพยพเข้ามากกว่า 131,000 คน ส่วนใหญ่มาจากทวีปเอเชียและโอเชียเนีย[24]

ประชากรพื้นเมืองของออสเตรเลีย ได้แก่​ชาวอะบอริจินบนแผ่นดินหลักและชาวเกาะช่องแคบทอร์เรส​ซึ่งมีทั้งหมด 410,003 คนในปีพ.ศ. 2544 (ร้อยละ ​2.2 ​ของประชากร) [25]

ออสเตรเลียไม่มีศาสนาประจำชาติ จากการสำรวจสำมะโนครัวในปีพ.ศ. 2549 ประชากรประมาณ 12.6 ล้านคน (64%) ประกาศตัวเป็นคริสเตียน ในจำนวนนี้ 5.1 ล้านคน (26%) เป็นโรมันคาทอลิก และ 3.7 ล้านคน (19%) เป็นแองกลิกัน ประชากร 3.7 ล้านคนถูกจัดอยู่ในกลุ่มไม่นับถือศาสนา ซึ่งรวมถึงแนวความเชื่อแบบมนุษยนิยม อเทวนิยม agnosticism (ลัทธิไม่เชื่อศาสนา) และ rationalism (ลัทธิถือเหตุผล) ประชากรเกือบหนึ่งล้านคน (5%) นับถือศาสนาอื่นๆ รวมถึงพุทธศาสนา ศาสนาอิสลาม ศาสนาฮินดู และศาสนาเชน[26] อย่างไรก็ตาม มีประชากรเพียง 1.5 ล้านคน (7.5%) ที่เข้าโบสถ์เป็นประจำทุกสัปดาห์[27]

[แก้] วัฒนธรรม

วัฒนธรรมของออสเตรเลียมีลักษณะเป็นวัฒนธรรมตะวันตก โดยเฉพาะแบบอังกฤษหรือแองโกล-เคลติก แต่ก็ยังมีเอกลักษณ์เฉพาะซึ่งพัฒนามาจากสภาพแวดล้อมและชนพื้นเมือง ในระยะหลัง วัฒนธรรมของออสเตรเลียยังได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมอเมริกัน

[แก้] อ้างอิง

  1. ^ 1.0 1.1 3101.0 - Australian Demographic Statistics, Mar 2007. Australian Bureau of Statistics (2007-09-24). สืบค้นวันที่ 2007-11-14 (อังกฤษ)
  2. ^ 2.0 2.1 Ancient heritage, modern society. Department of Foreign Affairs and Trade. สืบค้นวันที่ 2007-10-14 (อังกฤษ)
  3. ^ A Brief Aboriginal History. Aboriginal Heritage Office. สืบค้นวันที่ 2007-10-14 (อังกฤษ)
  4. ^ 4.0 4.1 4.2 European discovery and the colonisation of Australia. Culture and Recreation Portal. สืบค้นวันที่ 2007-10-14 (อังกฤษ)
  5. ^ 5.0 5.1 Convict Records. Public Record office of Victoria. สืบค้นวันที่ 2007-10-18 (อังกฤษ)
  6. ^ State Records Office of Western Australia. สืบค้นวันที่ 2007-10-18 (อังกฤษ)
  7. ^ Australian Bureau of Statistics 1998 Special Article. The State of New South Wales. สืบค้นวันที่ 2007-10-18 (อังกฤษ)
  8. ^ The Australian Gold Rush. Culture and Recreation Portal. สืบค้นวันที่ 2007-10-17 (อังกฤษ)
  9. ^ Chronology of the ACT. Canberra & District Historical Society. สืบค้นวันที่ 2007-10-16 (อังกฤษ)
  10. ^ Australia - Statute of Westminster Adoption Act 1942. สืบค้นวันที่ 2007-10-18 (อังกฤษ)
  11. ^ 1939 - ‘Australia is at war ...’. ANZAC Day Commemoration Committee. สืบค้นวันที่ 2007-10-17 (อังกฤษ)
  12. ^ Second World War 1939–45. Australian War Memorial. สืบค้นวันที่ 2007-10-17 (อังกฤษ)
  13. ^ Abolition of the 'White Australia' Policy. Australian Department of Immigration. สืบค้นวันที่ 2007-10-17 (อังกฤษ)
  14. ^ 1999 Referendum Report and Statistic. Australian Electoral Commission. สืบค้นวันที่ 2007-10-17 (อังกฤษ)
  15. ^ Queen and Commonwealth. สืบค้นวันที่ 2007-10-17 (อังกฤษ)
  16. ^ 16.0 16.1 Australian Constitution: Chapter 2 - The Executive Government. australianpolitics.com. สืบค้นวันที่ 2007-10-18 (อังกฤษ)
  17. ^ Governor-General's Role. สืบค้นวันที่ 2007-10-18 (อังกฤษ)
  18. ^ Federal Executive Council Handbook (PDF). Federal Executive Council Secretariat. สืบค้นวันที่ 2007-10-18 (อังกฤษ)
  19. ^ Federal Parliament. australianpolitics.com. สืบค้นวันที่ 2007-10-18 (อังกฤษ)
  20. ^ An Overview of Australian Political Parties. australianpolitics.com. สืบค้นวันที่ 2007-10-18
  21. ^ State of play (PDF). Bill of rights and statehood symnosium. สืบค้นวันที่ 2007-10-19 (อังกฤษ)
  22. ^ Background note: Australia. US Department of State. สืบค้นวันที่ 2007-07-14 (อังกฤษ)
  23. ^ The Evolution of Australia's Multicultural Policy. Department of Immigration and Multicultural and Indigenous Affairs (2005). สืบค้นวันที่ 2007-10-19 (อังกฤษ)
  24. ^ Settler numbers on the rise. สืบค้นวันที่ 2007-10-18 (อังกฤษ)
  25. ^ Year Book Australia 2005. Australian Bureau of Statistics. สืบค้นวันที่ 2007-10-18 (อังกฤษ)
  26. ^ 2006 Census Tables : Australia. Australian Bureau of Statistics. สืบค้นวันที่ 2007-11-15 (อังกฤษ)
  27. ^ NCLS releases latest estimates of church attendance. NCLS (2004-02-28). สืบค้นวันที่ 2007-11-15 (อังกฤษ)

[แก้] แหล่งข้อมูลอื่น

คุณสามารถหาข้อมูลภาษาอังกฤษเกี่ยวกับ ประเทศออสเตรเลีย ได้โดยค้นหาจากโครงการพี่น้องของวิกิพีเดีย:
Wiktionary-logo-th.png หาความหมาย จากวิกิพจนานุกรม
Wikibooks-logo.svg หนังสือ จากวิกิตำรา
Wikiquote-logo.svg คำคม จากวิกิคำคม
Wikisource-logo.svg ข้อมูลต้นฉบับ จากวิกิซอร์ซ
Commons-logo.svg ภาพและสื่อ จากคอมมอนส์
Wikinews-logo.svg เนื้อหาข่าว จากวิกิข่าว
Wikiversity-logo-Snorky.svg แหล่งเรียนรู้ จากวิกิวิทยาลัย

ภาษาอื่น